5 นวัตกรรมในอดีต ที่มีผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์
ในวันนี้ Khaorot.com เราได้รวบรวมสิ่งประดิษฐิ์ทั้ง 10 อย่าง ที่มีผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอย่างมาก ซึ่งกว่าจะเป็นรถยนต์สมบูรณ์แบบอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ต้องผ่านการคิดค้นประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆเพื่ออำนวยควาสะดวกในการขับขี่มากที่สุด และยังมีการใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าบางอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะสมต่อการใช้งานมากขึ้น แต่หลักการทำงานส่วนใหญ่ก็ยังคงเดิม เราไปดูกันว่าสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นจะมีอะไรบ้าง
อย่างที่หลายคนทราบกันว่าเข็มขัดนิรภัย ถูกคิดค้นขึ้นมาจากค่ายรถ Volvo แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่าค่ายรถสวีเดนนี้ เปิดโอกาสให้รถยนต์ค่ายอื่นๆได้ใช้เข็มขัดนิรภัยกันแบบไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ใดใด โดยรถคันแรกที่มีการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบสามจุดคือ Volvo P220 Amazon ในปี 1958 ซึ่งปัจจุบันเข็มขัดนิรภัยจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจักการชนมาช่วยในการทำงาน เมื่อมีการชนเกิดขึ้น ตัวสายรัดจะรั้งผู้โดยสารไว้กับที่ ไม่ให้กระเด็น หลุดออกจากที่นั่งตามแรงกระแทก
เข็มขัดนิรภัย ถูกคิดค้นขึ้นมาจากค่ายรถ Volvo
Volvo P220 Amazon ในปี 1958
ถุงลมนิรภัย คือถุงลมขนาดเล็กที่สามารถพองขยายตัวได้ภายในไม่กี่วินาที เพื่อรองรับแรงการแทกระหว่างศีรษะผู้โดยสารกับพวงมาลัยหรือแดชบอร์ด ช่วยลดการบาดเจ็บขณะเกิดเหตุไม่คาดฝัน โดยถุงลมนิรภัยที่ผ่านการประดิษฐิ์คิดค้นและทำออกมาสมบูรณ์ที่สุด ได้ติดตั้งครั้งแรกในรถ Mercedes Class S ในปี 1981 ซึ่งหลังจากนั้นเทคโนโลยีถุงลมนิรภัยได้มีการปรับปรุง พัฒนาอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมมากขึ้น
Mercedes Benz ทีมวืศวกรผู้คิดค้นถุงลมนิรภัย
ถุงลมนิรภัยติดตั้งครั้งแรกใน Mercedes Class S ปี 1981
ระบบนี้คือส่งประดิษฐิ์ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารมีความปลอดภัยมากขึ้น โดยมีจุดคิดค้นจากการเกิดอุบัติเหตุของวิศกรค่าย Mercedes ที่ทดลองขับรถต้นแบบ Class E ที่สนามขับ แต่ในระหว่างที่รถวิ่งอยู่เกิดไม่สามารถควบคุมรถได้กระทันหัน ขณะที่นั่งรอผู้ช่วยเหลือ ก็ได้คิดถึงการใช้ระบบเบรก ABS มาควบคุมแรงเบรกทั้งสี่ล้อ เพื่อช่วยให้แรงเบรกทำงานได้ดีขึ้น ลดการเกืดอุบัติเหตุเช่นที่เพิ่งเกิดได้ การคิดค้นของ Frank Werner Mohn ได้ถูกพัฒนาต่อโดย Mercedes Benz จนกระทั้งปัจจุบัน จะต้องมีระบบนี้ติดตั้งในรถยนต์ที่จำหน่ายในยุโรปทุกคันด้วย
เทคนิคในการเข้าโค้งให้ปลอดภัยไร้อุบัติเหตุ
Frank Werner Mohn
การคิดค้นของ Frank Werner Mohn ได้ถูกพัฒนาต่อโดย Mercedes Benz
เป็นอีกครั้งที่ค่าย Volvo ได้คิดค้นระบบนี้ขึ้นมาครั้งแรกเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยตอนแรกนั้นได้มีการใช้เลเซอร์และเซ็นเซอร์ในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง เพื่อวิเคราะห์ตัดสินใจ และไม่เพียงแต่ Volvo เท่านั้นที่ตระหนักถึงความสำคัญของระบบนี้ ค่ายผลิตรถยนต์อื่นๆก็เริ่มหันมาสนใจ ลงทุนติดตั้งกันมากขึ้นเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ โดย Volvo ก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ ยังพัฒนาต่อเนื่องจนถึงสามารถคิดค้นระบบเบรกอัตโนมัติที่ความเร็วสูงถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอีกด้วย ซึ่งถูกติดตั้งใน Mercedes E Class
ระบบเบรกอัตโนมัติและระบบตรวจจับคนเดินเท้า
ระบบนี้ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีธรรมดา แต่เป็นการก้าวเข้าสู่อนาคตอย่างแท้จริง โดยระบบพวงมาลัยได้มีการพัฒนาออกมา 6 ระดับด้วยกัน คือ
ระดับที่ 0 ควบคุมด้วยตัวผู้ขับขี่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีเทคโนโลยีอื่นๆมาเสริม
ระดับที่ 1 นำระบบเบรกอัตโนมัติเข้ามาช่วยในการขับขี่
ระดับที่ 2 มีการนำเทคโนโลยีอื่นๆเข้ามาช่วย เช่น ระบบ Cruise Control
ระดับที่ 3 ในระดับนี้ รถยนต์จะขับเคลื่อนเองอัตโนมัติ โดยสามารถวิเคราะห์สถานการณ์และตัดสินใจได้เอง เช่น หลบหลีกสิ่งกีดขวาง เบรกอัตโนมัติ เป็นต้น ซึ่งเริ่มมีให้เห็นกันบ้างในรถระบบไฟฟ้า แต่ถ้าพบกับเหตุการณ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ระบบจะคืนการควบคุมให้ผู้ขับขี่ตัดสินใจ
ระดับที่ 4 เป็นระบบที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองเกือบทั้งหมด เมื่อเจอเหตุการณ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ รถจะหยุดเองโดยอัตโนมัติ
ระดับที่ 5 ระดับสุดท้าย เป็นระบบที่สสมบูรณ์แบบที่สุด โดยรถยนต์จะขับเคลื่อนเอง มีการวิเคราะห์และตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆได้เองเหมือนกับมนุษย์ ซึ่งอาจดีกว่าเพราะไม่มีอารมณ์และความตื่นตระหนกเข้ามามีผลต่อการตัดสินใจ ทำให้ปลอดภัยมากขึ้น
ระดับของระบบการขับขี่
จะเห็นได้ว่า เทคโนลียีต่างๆได้ถูกคิดค้นและพัฒนาติอเนื่องอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารมีความปลอดภัยมากที่สุด ทั้งยังคำนึงถึงผู้ที่ใช้ทางเดินอีกด้วย แต่ไม่ว่าจะมีระบบทันสมัยมาช่วยมากเพียงใด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการขับขี่อย่างมีสติ ไม่ประมาท เพื่อความปลอดภัยของทุกท่านครับ
ดูเพิ่มเติม:
Volkswagen จับมือ Google พัฒนาระบบควอนตัมคอมพิวเตอร์
เพิ่มประสิทธิภาพให้เครื่องเสียงได้ง่ายๆ แค่รู้จักแต่งให้ปัง!!!