รถยนต์ คือยานพาหนะสำคัญต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะใช้ในการเดินทางไปทำงาน ท่องเที่ยว หรือทำธุรกิจ ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการตอบสนองทุกความต้องการของผู้ใช้งาน ถ้าหากว่าเจ้าของรถมีการดูแลรักษารถยนต์เป็นอย่างดีก็จะส่งผลให้รถยังคงสวยงามเหมือนใหม่ รวมทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานเพิ่มขึ้นไปอีก สำหรับการดูแลรักษาตัวรถด้วยการเคลือบสีรถก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยป้องกันรอยขีดข่วนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยป้องกันรถให้สวยงามและขจัดคราบสกปรกได้ง่ายขึ้น แต่หลายคนอาจเกิดความสงสัยว่า เคลือบแก้ว กับ เคลือบเซรามิก มีความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้เรามาหาคำตอบในบทความนี้ได้เลย
การเคลือบแก้ว (Glass Coating) คือการใช้นำยาเคลือบแข็งที่มีสารซิลิก้า (Silica) เป็นส่วนผสมมาเคลือบผิวรถ โดยตัวสารจะมีระดับความแข็งตั้งแต่ 1H-9H เมื่อโดนอากาศจะแข็งตัวและกลายเป็นชั้นฟิล์ม ช่วยป้องกันคราบต่าง ๆ เช่น ฝุ่น หรือรอยขีดข่วนต่าง ๆ ได้อย่างดี นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติที่สามารถเพิ่มความมันวาวให้พื้นผิว เมื่อเคลือบแก้วแล้วจึงดูสวยงาม
การเคลือบแก้ว คืออะไร
การเคลือบเซรามิก (Ceramic Coating) คือการเคลือบผิวรถด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแล็กเกอร์ และน้ำยาพิเศษที่มีส่วนผสมของซิลิคอน คาร์ไบด์ SIC ( Silicon Carbide) ที่มีความแข็งระดับ 9H ถูกออกแบบให้มีความคงทน สร้างความเงางาม ต้านสารเคมี และป้องกันคราบสกปรก รวมถึงรอยต่าง ๆ โดยมีอายุการใช้งานขั้นต่ำประมาณ 3 ปี
การเคลือบเซรามิก คืออะไร
ราคาในการเคลือบแก้ว และเคลือบเซรามิก จะเริ่มต้นที่หลักร้อยไปจนถึงหลักแสน ขึ้นอยู่กับขนาดของรถ เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงมากในการทำ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ก็มีราคาแพงกว่า ราคาจึงสูงตามไปด้วยนั่นเอง แต่สำหรับใครที่อยากลดต้นทุน ก็สามารถซื้อผลิตภัณฑ์มาทำเองได้ที่บ้าน ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อย่างดีเลยทีเดียว
นอกจากนี้ รถที่นำไปเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิกจะต้องดูแลรักษาเป็นประจำ ขั้นต่ำคือทุก ๆ 6 เดือน เพื่อล้างคราบสกปรกต่าง ๆ คราบฝุ่น รวมถึงคราบน้ำต่าง ๆ ออก เป็นการยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น ดังนั้น เจ้าของรถต้องเช็กระยะประกันให้ดี เพราะทางอู่หรือศูนย์จะรับประกันเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิกตั้งแต่ 3-5 ปี
เคลือบเซรามิก เคลือบแก้วช่วยปกป้องผิวรถของคุณ
หากจะอธิบายให้ผู้อ่านได้เข้าใจง่ายขึ้น ให้ลองนึกภาพถึงสิ่งของเหล่านี้ เช่น จาน กระถางต้นไม้ หรือกระเบื้อง ล้วนแล้วแต่ถูกเคลือบด้วยเซรามิกที่แสดงให้เห็นได้ว่าสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งแท้จริงแล้วเซรามิกคือกลุ่มทางสารเคมีที่มีเมมเบอร์ของสารเหล่านี้ประกอบเต็มไปหมด แต่สำหรับการเคลือบเซรามิกบนตัวรถจะเป็นการเคลือบชั้นผิวของสีตัวถังรถยนต์บนชั้น Clear Lacquer ให้มีความหนาเพิ่มขึ้น มีลักษณะคล้ายในการเคลือบแก้ว แต่สิ่งที่ต่างกันออกไปคือส่วนประกอบของน้ำยาที่นำมาใช้เป็นสารตั้งต้น โดยสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ย่อยดังนี้
• เซรามิกแบบดั้งเดิม ที่มาจากดินเหนียวหรือดินต่างๆ ที่สามารถนำไปเผาได้ ซึ่งมีสารตั้งต้นที่เป็น Silicon Dioxide (SiO2) ชนิดเดียวกันกับการเคลือบแก้ว จึงทำให้หลายคนเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าการ เคลือบเซรามิก กับเคลือบแก้ว เหมือนกัน
• เซรามิกทางพันธุวิศวกรรม (Engineering Ceramic / Modern Ceramic) ประกอบไปด้วยสารหลายชนิด เช่น Silicon Carbide (SiC) เป็นสารชนิดหนึ่งที่ถูกนำมาผลิตเพื่อใช้ในการเคลือบกระสวยยานอวกาศ หรือการใช้เคลือบผิวกันความร้อนในห้องเครื่องยนต์ของรถ Supercar ที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง เงางาม และปกป้องรอยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
การเคลือบเซรามิกและเคลือบแก้ว ต่างกันอย่างไร ?
สำหรับความแตกต่างระหว่างการ เคลือบแก้ว กับเคลือบเซรามิก มีความต่างกันที่สารตั้งต้นนั่นเอง โดยการเคลือบแก้วจะใช้สารเคมีที่ใช้ในการผลิตแก้วน้ำมาผลิตน้ำยาที่ใช้สำหรับการเคลือบบนผิวรถ จึงถูกเรียกว่าการเคลือบแก้ว แต่สำหรับการเคลือบเซรามิกจะเป็นการนำสารในกลุ่มเซรามิกมาเป็นสารตั้งต้นเพื่อผลิตน้ำยาเคลือบบนผิวรถเช่นเดียวกัน ซึ่งจะประกอบไปด้วยสารหลากหลายชนิดที่ใช้ในการเคลือบบนผิวรถ จึงทำให้ถูกเรียกว่าเคลือบเซรามิก
หนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการดูแลรักษาสีรถยนต์คันโปรดนั้นก็คือการ เคลือบเซรามิก และเคลือบแก้ว โดยทั้งสองวิธีนี้จะช่วยทำให้รถยนต์ของคุณมีความเงางามตลอดเวลา สามารถช่วยขจัดสิ่งสกปรกออกไปได้อย่างง่ายดาย สะดวกสบายต่อการเช็ดล้างทำความสะอาดตัวรถ และหากทำวิธีนี้เพียงครั้งเดียวจะสามารถอยู่ได้นานถึง 2-3 ปี เลยทีเดียว ซึ่งมีความแตกต่างจากการเคลือบสีรถแบบธรรมดาทั่วไปที่อยู่ได้เพียงแค่ 1-2 สัปดาห์ เท่านั้น
ถ้าหากถามว่าระหว่างการเคลือบเซรามิกกับเคลือบแก้วแบบไหนดีกว่ากัน ตรงนี้ก็ต้องบอกเลยว่าการเคลือบสีรถทั้ง 2 ประเภทนี้มีความใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก สำหรับการเคลือบสีรถแบบเซรามิกจะมีความแตกต่างตรงที่ส่วนประกอบของน้ำยาที่ถูกนำมาเป็นสารตั้งต้นที่มีคุณสมบัติในการเคลือบสีตัวรถให้มีความหนาขึ้นและเพิ่มความแข็งแกร่งของสีรถได้เป็นอย่างดี แต่การเคลือบแก้วจะสามารถช่วยป้องกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังช่วยลดการเกาะติดของคราบน้ำ หรือคราบขี้นกและยางไม้ต่างๆ ในระหว่างการเดินทางได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าของรถ และงบประมาณที่ตั้งเอาไว้ อย่างไรแล้วการดูแลรักษาและล้างรถอย่างสม่ำเสมอก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้รถมีความเงางามเหมือนใหม่ได้เช่นเดียวกัน
อ่านเพิ่มเติม