เริ่มเข้าเดือนมิถุนายนแล้ว ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็หนีไม่พ้นเม็ดฝนที่โปรยปรายมาเป็นระยะตลอดเส้นทาง บดบังทัศนวิสัย รวมถึงพายุและน้ำท่วม ที่ถือว่าเป็นขาประจำในฤดูฝนกันเลยทีเดียว อีกทั้งถนนยังลื่นง่าย ยากต่อการควบคุมรถ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการขับขี่รถยนต์อย่างมาก ดังนั้นวันนี้เรามีเทคนิคดีดีในการดูแลและขับขี่รถยนต์ เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถในช่วงหน้าฝนมาฝากกัน
เทคนิคดูแลรถยนต์ในหน้าฝน
ยางรถเมื่อใช้ไปนานๆควรได้รับการตรวจเช็คสภาพ โดนเฉพาะยางที่มีอายุการใช้งานเกิน 3 ปี เพราะยางจะมีการเสื่อมสภาพ ขาดความยืดหยุ่นซึ่งส่งผลให้การเกาะตัวกับถนนลดลง เวลาเบรกกระทันหันหรือเบรกแรงๆรถจะลื่นไถลได้ง่าย อีกทั้งควรเช็คดอกยางว่าบางไปหรือเปล่า โดยดอกยางที่เหมาะสม ควรสูงมากกว่า 2.5 มม.เพื่อให้การรีดน้ำออกจากตัวยางมีประสิทธิภาพ รถจะได้ไม่เสียการทรงตัวเมื่อวิ่งผ่านถนนที่มีน้ำเจิ่งนอง อีกส่วนที่ละเลยไม่ได้คือ ระบบเบรก โดยสังเกตได้ง่ายๆเวลาที่เราเบรกแล้วรถไถลไปข้างหน้าหรือสะบัดซ้ายขวาหรือไม่ หากมีลักษณะดังกล่าวควรรีบให้ช่างตรวจเช็คโดยด่วน
ที่ปัดน้ำฝนและน้ำฉีด
หากวิสัยทัศไม่ดี ย่อมเป็นอุปสรรคแก่ผู้ขับขี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงควรตรวจสอบยางปัดน้ำฝนว่าอยู่ในสภาพใช้งานได้ดีหรือไม่ หากปัดแล้วเป็นคลื่นไม่เรียบ มีเสียงดังรบกวนตลอดเวลา ควรเปลิ่ยนอันไหม่เพื่อความปลอดภัย รวมถึงต้องหมั่นตรวจเช็คน้ำในกระบอกฉีดอยู่เสมอ
ตรวจไฟสัญญาณ
เมื่อฝนตกหนัก มักทำให้ระยะการมองเห็นเส้นทางสั้นลง จึงควรตรวจไฟสัญญาณรอบตัวรถ ทั้งไฟหน้า สูง-ต่ำ ไฟท้าย ไฟหรี่ ไฟเลี้ยว ว่าให้แสงสว่างมากพอหรือไม่ หากพบว่ามีไฟที่ไม่สว่างควรให้ช่างเปลี่ยนทันที
ยางขอบประตู เป็นจุดเล็กๆที่หลายคนมองข้ามไป แต่ถ้าลองนึกภาพว่ากำลังขับรถกลางสายฝน มีน้ำเจิ่ง และซึมเข้ามาภายในรถทำให้ภายในเสียหาย คงยิ้มไม่ออกทีเดียว ดังนั้นจึงควรตรวจสภาพยางขอบประตูด้วยว่าเสื่อมสภาพหรือเปล่า
เมื่อเตรียมรถคู่ใจพร้อมแล้ว ด้านคนขับก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรขับด้วยความเร็วระดับเหมาะสม ระมัดระวังมากกว่าเดิม โดยเฉพาะเวลาเบรกแนะนำให้ลดความเร็วแล้วค่อยเบรกอย่างช้าๆแทนการเบรกกระทันหัน ซึ่งจะช่วยลดการไถลลื่นของตัวรถได้
หากเตรียมพร้อมได้ดังนี้แล้ว ไม่ว่าฝนจะตกปรอยๆหรือตกหนัก ก็ไม่หวั่นอีกต่อไป
ดูเพิ่มเติม: