สำหรับสายซิ่งเตรียมตัว มาอัทเดทข่าวสารจากกรมการขนส่งทางบกประกาศกำหนดมาตรฐานระดับเสียงและวิธีการวัดระดับเสียงของรถยนต์ พ.ศ. 2561 เพื่อกำหนดวิธีการตรวจวัดระดับเสียงที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ เพื่อให้อยู่ในระดับเสียงตามที่กฎหมายกำหนด โดยจะบังคับใช้กับรถยนต์ที่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 ประกอบด้วย
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 ที่นั่ง
รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล
รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด
รถยนต์รับจ้างบรรทุกผู้โดยสารไม่เกิน 7 คน
รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง
รถยนต์บริการ
รถยนต์สามล้อ
ยกเว้น รถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า (BEV)
รถยนต์ทุกประเภทข้างต้นที่จดทะเบียนก่อนวันที่ 1 มกราคม 2557 จะต้องมีระดับเสียงไม่เกิน 100 เดซิเบล
รถยนต์ทุกประเภทข้างต้นที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป หากมีน้ำหนักรถเปล่าเกิน 2,200 กิโลกรัม ต้องมีระดับเสียงไม่เกิน 99 เดซิเบลเอ รถขนาดเล็กมีน้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 2,200 กิโลกรัม ต้องมีระดับเสียงไม่เกิน 95 เดซิเบลเอ ยกเว้นรถสามล้อจะต้องมีระดับเสียงไม่เกิน 95 เดซิเบลเอ
ตรวจวัดระดับเสียง
ในส่วนขั้นตอนการตรวจวัดระดับเสียงของรถยนต์ดังกล่าว กำหนดให้ตรวจวัดได้เฉพาะเมื่อรอบเครื่องยนต์ได้ความเร็วรอบคงที่ตามที่กำหนดเท่านั้น ได้แก่
รถยนต์ที่มีความเร็วรอบที่ให้กำลังสูงสุดระหว่าง 5,500 - 7,499 รอบต่อนาที ให้ตรวจวัดที่ 3,750 รอบต่อนาที
รถยนต์ที่มีความเร็วรอบที่ให้กำลังสูงสุดตั้งแต่ 7,500 รอบต่อนาทีขึ้นไป ให้ตรวจวัดที่ 1 ใน 2 ของความเร็วรอบที่ให้กำลังสูงสุด
ขั้นตอนการตรวจวัดระดับเสียงของรถยนต์
ทั้งนี้ กรมการขนส่งแนะนำว่าเจ้าของรถควรใช้ท่อไอเสียที่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และไม่ดัดแปลงสภาพรถ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหารถที่มีระดับเสียงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
นับเป็นเรื่องราวที่เราต้องรับทราบและเตรียมตัวเพื่อความถูกต้องไว้กัน เพื่อความปลอดภัยและความเป็นระเบียบในการขับขี่บนท้องถนนกันนะพี่น้อง
ดูเพิ่มเติม:
ใบขับขี่หาย!!! ปัญหากวนใจของใครหลายคน แต่ใครจะรู้ ทำใหม่ง่ายแค่ไม่กี่นาที
ศูนย์บอกว่าจะเทิร์นรถเก่าให้เพื่อซื้อรถใหม่ เชื่อถือได้มากแค่ไหน?