16:27, 9 มี.ค. 2563

Nissan Go Anywhere ลุยมาเลเซีย ศักยภาพรถยนต์ไทยไปไหนก็ได้

บันทึกรายการ

นิสสัน เปิดทริป Go Anywhere ตะลุยมาเลเซีย ระยะทางกว่า 2,000 กม. โดยใช้รถยนต์ที่จำหน่ายในไทย Nissan Navara, Nissan X-trail และ Nissan Terra ที่ทุกรุ่นมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ฟันฝ่าผ่านทุกอุปสรรคแบบ Nissan Go Anywhere


Nissan Go Anywhere ไปถึงเมือง ปุตราจายา (Putrajaya)

Nissan Go Anywhere ลุยได้ทุกที่ ตะลุยมาเลเซีย กับสื่ออาเซียน 8 วัน รวมระยะทางกว่า 2,000 กม. กับภูมิประเทศของมาเลเซีย  เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนจากอาเซียนสัมผัสสมรรถนะ ความสะดวกสบายในการเดินทาง และเทคโนโลยีอัจฉริยะของรถยนต์นิสสันที่ผลิตจากประเทศไทย


Nissan Navara, Nissan X-trail และ Nissan Terra จากประเทศไทย

การทดสอบขับภายใต้ธีม “Go Anywhere” หรือ “ลุยได้ทุกที่” ของนิสสัน ผ่านภูมิประเทศที่หลากหลายของมาเลเซียจัดขึ้นเพื่อทดสอบรถยนต์นิสสันที่ผลิตขึ้นจากฐานการผลิตในประเทศไทย โดยเส้นทางรอบประเทศมาเลเซียสามารถพิสูจน์สมรรถนะ ความสะดวกสบายในการขับขี่ และเทคโนโลยีอัจฉริยะจากการใช้งานจริง Nissan Navara, Nissan X-trail และ Nissan Terra สภาพเส้นทางที่ผสมผสานถนนลาดยาง ถนนโค้งบนภูเขา หรือการผจญภัยแบบออฟโรด Nissan Go Anywhere

นายราเมช นาราสิมัน ประธาน นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าว "ประสบการณ์การขับขี่เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงคุณภาพระดับโลกของรถยนต์นิสสัน"


Nissan Go Anywhere ณ ประเทศมาเลเซีย เริ่มต้นด้วยการขับรถบนทางหลวงจากอำเภอหาดใหญ่

ในการเดินทางรอบประเทศมาเลเซียมีสื่อมวลชนหลากหลายด้าน อาทิ ยานยนต์และไลฟ์สไตล์ร่วมผจญภัยใน 3 กลุ่ม ขับรถยนต์นิสสันไปตามเส้นทางที่หลากหลาย พิสูจน์สมรรถนะของรถยนต์แต่ละรุ่น ไปตามจุดหมายปลายทางที่น่าตื่นเต้นเร้าใจสำหรับการเดินทางที่เต็มไปด้วยความท้าทาย เส้นทาง และสภาพการขับขี่ที่มีเอกลักษณ์ตามลักษณะภูมิประเทศ การจราจรเป็นแบบพวงมาลัยขวาและขับรถชิดทางด้านซ้ายเช่นเดียวกับประเทศไทย เขตเมืองสำคัญมีการจราจรหนาแน่นในช่วงเช้าและบ่าย การเดินทางรอบประเทศมาเลเซียจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก

ซึ่งผู้เขียนได้รอบแรก Nissan Go Anywhere​​​​​​​ ณ ประเทศมาเลเซีย เริ่มต้นด้วยการขับรถบนทางหลวงจากอำเภอหาดใหญ่ ไปยังชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ด่านสะเดา 

2 สิ่งที่สำคัญในการผ่านแดนไปยังประเทศมาเลเซียคือ สติ๊กเกอร์ป้ายทะเบียน และพรบ.ประกันภัยเบื้องต้นตามข้อกฎหมายบังคับของมาเลซีย สามารถอยู่ได้ 7 วัน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดราว ๆ 2,000 บาท


สติ๊กเกอร์ป้ายทะเบียน

ซึ่งในการขับรถผ่านแดนไปยังประเทศมาเลเซียนั้นไม่ยาก โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ที่จะเป็นการเสียเวลาทำสติ๊กเกอร์ป้ายทะเบียน ซึ่งในด่านจะคัดลอกทะเบียนตัวอักษรภาษาไทยไปเทียบกับภาษาอังกฤษ หากใครติดต่อให้ทำไว้ก่อนจะย่นเวลาเหลือประมาณ 30 นาทีเท่านั้น


ทางไปยังภูเขาเจไร (Mount Jerai)

เดินทางเข้าสู่รัฐเกอดะฮ์ (Kedah) ประเทศมาเลเซีย ก่อนเดินทางไปยังภูเขาเจไร (Mount Jerai) โดย Nissan Navara รุ่น 4WD VL 7AT ที่มาพร้อมขุมกำลัง YD25DDTi คอมมอนเรล 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบแปรผัน (VGS) อินเตอร์คูลเลอร์ ขนาดความจุ 2,488 ซี.ซี. ที่ให้กำลัง 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที


บนยอดเขา ภูเขาเจไร (Mount Jerai)

ภูเขาเจไร (Mount Jerai) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในมาเลเซีย มีความสูงปะมาณเกือบ 1000 เมตรจากระดับน้ำทำเล ซึ่งเส้นทางนับว่าได้แสดงสมรรถนะรถ Nissan Navara ได้เป็นอย่างดี ด้วยทางชันระดับ 30 องศาและเป็นทางขึ้นแบบโค้งหักศอก ถนนไม่กว้างพอให้รถสวนกัน

ด้วยฟีลลิ่งของ Nissan Navara ที่เป็นพวงมาลัยแบบ rack and pinion ก็จะความหนือและน้ำหนักที่เยอะไปสักหน่อยรู้สึกลำบากในจุดนี้ แต่บนทางชันหรือขึ้นเขาไม่สามารถเหยียบเร่งขึ้นได้อย่างไม่มีปัญหาด้วยขุมกำลังเครื่องยนต์ที่ดี และแล้วก็ถึงยอดเขาเป็นจุดหมายที่เราพักกันวันแรก

วันที่สองสลับรถเป็น Nissan X-trail รุ่น 2.5VL 4WD ที่มีขุมกำลังเบนซินรหัส QR25DE 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Twin C-VTC ขนาด 2,488 ซี.ซี. ให้กำลัง 171 แรงม้า 233 นิวตันเมตร เดินทางต่อไปยังปราสาทเคลลี (Kellie's Castle) ซึ่งทางนิสสันเองก็ได้จัดเส้นทางพิเศษแบบ off-road

ฟีลลิ่งการขับขี่แตกต่างจาก Nissan Navara โดยสื้นเชิง โดยเฉพาะช่วงขาลงจาก ภูเขาเจไร (Mount Jerai) ที่บังคับง่ายกว่าเดิมมาก ด้วยระบบพาวเวอร์ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) พร้อม Speed Sensorรวมถึงช่วงล่างที่นุ่มนวลในแบบบฉบับรถ SUV แท้ ๆ ที่ใช้ ด้านหน้าเป็นแม็กเฟอร์สันสตรัท  หลังอิสระมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง


เส้่นทางออฟโร้ด

รวมถึงการเดินทางวันนี้กว่า 300 กม. ที่เราได้ใช้ กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง Intelligent Around View Monitor (IAVM) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ Intelligent Cruise Control (ICC) มากเป็นพิเศษ ทำให้ขับได้สบายขึ้นเยอะ

ในการผ่านอุปสรรคที่ไม่ได้โหดมาก Nissan X-trail สามารถตามขบวนที่มีแต่ขาลุยตัวจริงอย่าง Nissan Navara และ Nissan Terra ได้อย่างไม่มีปัญหาด้วยความสูงใต้ท้องรถ 210 มม. การปรับโหมดขับขี่ก็ทำง่าย ๆ เพียงแค่บิดปุ่มระบบขับเคลื่อนที่คอนโซลกลางของรถ และแผงหน้าปัดจะแจ้งสัญญาณพร้อมลุยแบบ 4WD และจบเส้นทางนี้ก็มุ่งหน้าต่อไปที่กรุงกัวลาลัมเปอร์

Nissan X-trai สามารถลุยออฟโร้ดได้  แต่ก็ไม่สบายใจเท่าช่วงล่างแบบคานแข็ง

วันที่สามมีเส้นทางเพียงเล็กน้อกยคือจาก กัวลาลัมเปอร์ไปยังเมือง ปุตราจายา (Putrajaya) ด้วย Nissan Terra เรียกว่าทุกฟีลลิ่งการขับไม่หนีต่าง Nissan Navara แม้แต่น้อย แต่ออปชั่นดูดีขึ้นเช่น กระจกมองหลังอัจฉริยะที่ใช้กล้องแทน ทำให้ได้ภาพที่ไม่มีการรบกวนจากห้องโดยสาร


เมือง ปุตราจายา (Putrajaya) เมืองราชการแห่งใหม่ของมาเลเซีย

รถยนต์นิสสันทั้งสามรุ่นนี้ได้มอบการขับขี่ที่ปลอดภัยตลอดการเดินทางบนสภาพการขับขี่ที่หลากหลาย รวมถึงการใช้ความเร็วบนถนนลาดยาง แสดงความสามารถในการยึดเกาะถนนบนทางโค้งที่แคบ และความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรด

"สื่อมวลชนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้เพลิดเพลินกับการขับขี่ที่น่าตื่นเต้นในประเทศมาเลเซียไม่ว่าจะเป็นในเมืองและในเขตภูเขาหรือท่ามกลางป่าดงดิบ หรือ Rainforest" ราเมช กล่าวเพิ่มเติม

“การออกแบบรถยนต์ที่แข็งแกร่งและทนทานที่ถูกรองรับด้วยระบบกันสะเทือนหลังแบบ 5 ลิงค์ (5-link) อันโดดเด่นนั้นเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการขับขี่ที่สมบุกสมบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับรถขึ้นและลงจากภูเขาเจไร (Mount Jerai) รวมถึงการเร่งความเร็วบนถนนลาดยาง การยึดเกาะถนนอย่างเหนือชั้นในโค้งแคบ ๆ และสมรรถนะของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ บนสภาพออฟโรดที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเผชิญกับสภาพเส้นทางแบบไหน" ราเมชกล่าวเสริม

สำหรับผู้เขียนแล้วนอกจากสมรรถนะที่พิสูจน์ผ่านการขับขี่อย่างยาวนานและต่อเนื่อง อีกหนึ่งคือความเสถียรภาพของเครื่องยนต์และรถ ที่สามารถเติมน้ำมันจากต่างถิ่นอย่างประเทศมาเลเซียได้อย่างไม่มีปัญหาทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล


"Go Anywhere" หรือ "ลุยได้ทุกที่"

สามารถให้ประสบการณ์การขับขี่ในมาเลเซียเต็มไปด้วยความมั่นใจ เติมเต็มคำนิยามภายใต้แนวคิดของการขับขี่แบบ "Go Anywhere" หรือ "ลุยได้ทุกที่" ภายใต้วิถีการขับขี่ในทุกเส้นทางของนิสสัน

ningkung

ในหมวดเดียวกัน