ในวันที่ 11 ตุลาคม 2562 All-new Isuzu D-Max 2020 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ หลังจากโฉมก่อนยืนหยัดในตลาดรถกระบะของไทยมาอย่างยาวนานถึง 8 ปี (2011-ปัจจุบัน) ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่าง Toyota Hilux Vigo กับ All-new Toyota Hilux Revo ที่เปิดตัวในปี 2015 และครั้งนี้ก็ถึงทีของ Isuzu ที่จะสู้กับคู่ปรับตลอดกาลได้อย่างเสมอภาค เพราะถือว่าเป็นโฉมใหม่ด้วยกันทั้งคู่
สำหรับ All-new Isuzu D-Max 2020 พัฒนาภายใต้แนวคิด BOLD, EMOTINAL และ SMART ที่ใหม่หมดทั้ง ดีไซน์ใหม่ แพลตฟอร์มใหม่ เครื่องยนต์ใหม่ BluePower Gen.2 เพิ่มเติมเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ และออปชั่นใหม่ เป็นการเปิดตัวแบบ World Premiere และมีกำหนดที่จะเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการ 19 ตุลาคม 2562 อีกครั้ง
ด้วยแนวคิด Bold but Emtinal มีการปรับมิติรถโดยรวมให้ใหญ่และบึกบึนขึ้นจากโฉมก่อน พร้อมเพิ่มเติมเส้นสายที่ฝากระโปรงและด้านข้างตัวรถ ชุดไฟหน้า ISUZU Vision Bi-LED เพิ่มความสว่าง ส่องได้ไกลและกว้างขึ้น พร้อมระบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ, ไฟท้าย Dual-Sonic LED ให้ความสว่างชัดเจนยิ่งขึ้น, นวัตกรรมการออกแบบ Aerodynamic ผ่านการทดสอบในอุโมงค์ลมที่ Japan Railway Technical Research Institute หรือ JR, มีแผงกันลมขนาดใหญ่ใต้ท้องรถ Wind Guard ช่วยลดอากาศหมุนวนใต้ท้องรถ
ด้วยแนวคิด Bold but Smart ที่สุดของอรรถประโยชน์การใช้งานในห้องโดยสาร Usability Design มีช่องอเนกประสงค์รอบคัน ที่วางแก้ว และขวดน้ำรวม 10 จุด รองรับขวดน้ำขนาดใหญ่สุดได้ถึง 1.5 ลิตร, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติใหม่ Dual Zone ควบคุมอุณหภูมิอิสระซ้าย-ขวา พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง (Tilt & Telescopic), เบาะนั่งคู่หน้าเทคโนโลยี AVEC (Anti Vibration Elastic Comfort) ซับแรงสั่นสะเทือน ลดความเมื่อยล้า พร้อมระบบปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ในตำแหน่งที่นั่งคนขับ
ระบบความบันเทิง ISUZU Ultimate Entertainment หน้าจอระบบสัมผัส ขนาด 9 นิ้ว คมชัดระดับ HD ใช้งานง่าย, ระบบเสียงรอบทิศทาง Dynamic Surround Sound 8 ลำโพง เพิ่มความสุนทรีย์การเดินทาง และ Multi-Purpose Space ช่องอเนกประสงค์รอบคัน
เครื่องยนต์อีซูซุ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,600 รอบ/นาที โดยปรับปรุงให้แรงบิดสูง 300 นิวตันเมตร ที่ช่วงรอบต่ำเพียง 1,000 รอบ/นาที
เครื่องยนต์อีซูซุ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ Gen 2 กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที ออกตัวเร็วขึ้น เร่งเเซงเร็วขึ้น
โดยมีการปรับวิศวกรรมภายในของเครื่องยนต์ดังนี้
-ปรับจังหวะการฉีดน้ำมัน เพิ่มประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในการเผาไหม้
- ห้องเผาไหม้ใหม่ แบบ Optimum Combustion Shape ออกแบบพิเศษ ช่วยให้น้ำมันผสมกับอากาศได้ดียิ่งขึ้น
- ระบบหัวฉีด แบบ High Pressure แรงดัน 250 MPa ให้ละอองน้ำมันละเอียด เผาไหม้สมบูรณ์แบบ
- เทอร์โบใหม่ขนาดใหญ่ Electronic VGS Turbo ช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองได้ดีเยี่ยมในทุกรอบความเร็ว
- กล่อง ECM ใหม่ ประมวลผลแบบ Multi-core ประมวลผลแม่นยำ ตอบสนองไวต่อการใช้งาน
- สลักลูกสูบ เคลือบสารพิเศษ Diamond Like Carbon
- เสื้อสูบแบบ Melt-in Liner ชุบแข็งแบบเหนี่ยวนำด้วยคลื่นความถี่สูง
- Electronic Thermostat ควบคุมการเปิด-ปิดวาล์วน้ำ ด้วยระบบไฟฟ้า ช่วยให้อุณหภูมิภายในเครื่องยนต์เหมาะสมทุกช่วงการใช้งาน
- Timing Gear แบบ Double Scissors Gear ช่วยลดระยะห่างของฟันเฟือง เครื่องยนต์จึงเดินเรียบเงียบขึ้น
ผสานการทำงานของโครงสร้างตัวถัง แชสซีส์ เครื่องยนต์ และช่วงล่าง เพื่อสมดุลยภาพการขับขี่ โครงสร้างตัวถังเสริมเหล็ก Ultra-High Tensile แข็งและเหนียวกว่าเหล็กธรรมดา ช่วงล่างใหม่ มีการเซตให้แตกต่างกันไปในรถแต่ละรุ่น โดยในรุ่น 4 ประตู นุ่มนวลนั่งสบาย เหมาะกับการนั่งโดยสาร รุ่น 2 ประตู ใช้งานอเนกประสงค์ สามารถรองรับงานบรรทุกได้อย่างดี รุ่นตอนเดียวใช้งานทั่วไป สามารถรองรับงานบรรทุกได้สูงสุด
ช่วงล่างด้านหน้าใหม่แบบอิสระปีกนก 2 ชั้น (Double Wishbone) พร้อมคอยล์สปริง ออกแบบจุดยึดปีกนกสูงขึ้น ลดอาการโยนตัวและสามารถเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ, ช่วงล่างหลังแหนบยาวแบบ Long Span ผลิตด้วยเทคโนโลยี WSSP (Warm Stress Shot Peening) ช่วยให้ตัวแหนบมีความแข็งแกร่งทนทานกว่าปกติ แต่มีความยืดหยุ่นดีขึ้น ระบบควบคุมการบังคับพวงมาลัยใหม่ ควบคุมง่าย ตอบสนองได้ฉับไว
แชสซีส์ใหม่ ขนาดใหญ่ รับแรงบิดสูงขึ้น 23% ขึ้นรูปด้วยเหล็กกล้าแบบเสริมแรง (Reinforce) รองรับการขับขี่ที่สมบุกสมบัน, Semi – Midship การวางตำแหน่งเครื่องยนต์เยื้องหลังเพลาหน้าทำให้กระจายน้ำหนักได้สมดุลกับตัวรถ
Electronic Diff-Lock (ดิฟฟ์ล็อกไฟฟ้า) ช่วยล็อกเฟืองท้าย ให้เครื่องยนต์ส่งกำลังไปยังล้อหลังด้านซ้าย และขวาให้เท่ากัน เพื่อให้ผ่านอุปสรรคที่ยาก ๆ, ช่วงล่างลุยน้ำได้สูงสุด 800 มิลลิเมตร, ระบบ Terrain Command พัฒนาให้ทำงานได้แม่นยำยิ่งขึ้น สวิตช์เปลี่ยนการขับเคลื่อนจาก 2 ล้อเป็น 4 ล้อ เลือกการใช้งานให้เหมาะกับทุกสภาพถนน ทั้ง 2H/4H และ 4L
- SRS AIRBAG 6 ตำแหน่ง ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านข้าง 2 ตำแหน่ง และม่าน 2 ตำแหน่ง
- BSM (Blind Spot Monitoring) ระบบเตือนจุดอับสายตาในกรณีต้องการเปลี่ยนเลน โดยส่งสัญญาณเตือนที่มุมกระจกมองข้าง
- ESS (Emergency Stop Signal) ระบบไฟฉุกเฉินจะกระพริบอัตโนมัติ เมื่อมีการเบรกกะทันหัน
- Disc Brake ขนาดใหญ่ 320 มม. พร้อมคาลิเปอร์แบบลูกสูบคู่
- โครงสร้างห้องโดยสารเสริมเหล็กความแข็งแกร่งสูง Ultra-High Tensile
- Remote Engine Start สตาร์ตเครื่องยนต์ด้วยกุญแจรีโมทในระยะ 20 เมตร
- กระจกบังลมหน้าแบบ IR Cut ช่วยกรองรังสีอินฟราเรด ป้องกันรังสี UVA และ UVB ลดอุณหภูมิในห้องโดยสาร
- กุญแจ Isuzu Genius Entry พร้อมฟังก์ชัน Remote Engine Start สตาร์ตเครื่องยนต์ด้วยกุญแจรีโมทในระยะ 20 เมตร
- Parking Aid System Parking Aid System เซ็นเซอร์กะระยะ 8 จุดรอบคัน
- RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตาขณะถอยหลัง
- Rain Sensing Wiper ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
- Integrated Wiper Blade ระบบฉีดน้ำบนก้านปัดแบบ Blade Type
- Welcome Light Welcome Light ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารเปิดอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้รถในระยะ 2 เมตร
- Follow Me Home สามารถเปิดไฟส่องสว่างได้นาน 30 วินาที หลังดับเครื่องยนต์
- Walk Away Auto Lock ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ เมื่อเดินออกห่างจากตัวรถ เกินระยะ 3 เมตร
- Auto Light Off ระบบปิดไฟหน้าอัตโนมัติเมื่อดับเครื่องยนต์ และเปิดประตูรถ
ในการเปิดตัวครั้งนี้ทางอีซูซุเปิดตัวแบบ เวิล์ด พรีเมีย (World Premiere) เป็นธรรมเนียม ซึ่งจะยังไม่เผยราคาจำหน่ายเพราะอาจตั้งราคาแตกต่างกันในแต่ละประเทศ แต่ก็แย้มราคาจำหน่ายในไทยรุ่นต่ำสุดที่ 510,000 บาท และท็อปสุดที่ 1,164,000 บาท
มีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 4 สไตล์ ได้แก่
และทั้งหมดนี้ก็ถือว่ามีรายละเอียดเยอะพอสมควร ส่วนราคาจำหน่ายทุกรุ่นคงต้องรอดูอีกทีในวันที่ 19 ตุลาคม 2562 รวมถึงวันที่พร้อมจัดจำหน่าย
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม