แบตเตอรีรถยนต์แบบเปียกกับแบบแห้งต่างกันอย่างไร ชนิดไหนดีกว่ากัน แบตเตอรีหมดได้ไหมแล้วเมื่อไหร่ถึงควรเปลี่ยนครับ ?
สมคิด แซ่ลิ้ว (somkid032@hotmail.com)
เจษฎา โชคอำนวย
แบตเตอรี คือแหล่งกักเก็บไฟฟ้าสำรองของรถยนต์ เรียกได้ว่ามีความสำคัญมากที่เดียว เพราะหากเมื่อไหร่ที่ไดชาร์จผลิตกระแสไฟฟ้าได้น้อย หรือไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ระบบก็จะดึงกระแสไฟจากแบตเตอรีมาใช้งานแทน และป้อนกระแสไฟฟ้าไปที่ระบบต่างๆ เช่น แอร์ วิทยุ ระบบปิดเปิดกระจกรถ ระบบไฟส่องสว่าง เป็นต้น เพราะฉนั้นจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับแบตเตอรีให้มากขึ้น
แบตเตอรีรถยนต์แบบเปียกกับแบบแห้งต่างกันอย่างไรครับ ?
แบเตอรีนถยนต์ มีด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบเปียกและแบบแห้ง ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้
1. แบบเปียก มักนิยมใช้กันเป็นส่วนใหญ่ เพราะราคาถูก โดยแบ่งเป็นสองประเภทย่อยคือ
- แบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ ซึ่งต้องหมั่นดูแลและเติมน้ำกลั่นอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพราะน้ำกลั่นจะมีการระเหยออกไปได้ง่าย โดยต้องเติมให้เท่ากับขีดที่กำหนด หากเติมจนเกินขีด พอน้ำเดือดจะล้นออกมากัดขั้วแบตได้ครับ
- แบบที่ไม่ต้องดูแลบ่อย(แบบไฮบริด) แบตเตอรีชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้มีคุณสมบัติลดการระเหยจึงกินน้ำกลั่นน้อยมาก จึงไม่ต้องคอยเติมบ่อยๆทั้งสองชนิดนี้จะมีฝาเปิด-ปิด สำหรับไว้เติมน้ำกลั่น อายุการใช้งานเฉลี่ยของแบตเตอรีแบบเปียกประมาณ 1.5-2 ปี แต่ไม่ควรใช้เกิน 3 ปี โดยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษา หากดูแลอยู่สม่ำเสมอก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาหมดอายุการใช้งาน ควรเปลี่ยนแบตเตอรีใหม่เพื่อประสิทธิภาพการใช้งานที่ดี
2. แบบแห้ง แบตเตอรีชนิดใช้เจลกรดแทนน้ำทำให้ดูแลง่ายกว่ามาก ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นจึงไม่มีฝาปิด-เปิด สำหรับเติมน้ำกลั่นหรือไม่ก็ถูกซีลทับฝาไปเลย ไม่ต้องมองหาฝากันนะครับ โดยจะมีเพียงตาแมวไว้คอยส่องตรวจเช็คระดับเจลกรดกับระดับไฟชาร์ตแทน หากเจลกรดหมดก็ต้องเปลี่ยนลูกใหม่ครับ แบตเตอรีแบบนี้มีความทนทานสูง อายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้มีราคาสูงกว่าแบตเตอรีแบบเปียกครับ
แบตเตอรีแบบเปียก
ชนิดไหนดีกว่ากัน?
หากจะเปรียบทียบทั้งสองชนิดแล้ว แบตเตอรีแบบแห้งจะดีกว่าในแง่ของอายุการใช้งานและการดูแลรักษาเพราะไม่ต้องยุ่งยากคอยเติมน้ำกลั่นตลอด แต่ราคาจะสูงกว่า ถ้าคุณสมคิดรับราคาได้ น่าจะใช้แบตเตอรีแบบแห้งดีกว่าครับ
แบตเตอรีหมดได้ไหม?
ปกติแล้วหากไดชาร์จทำงานได้ดีแบตเตอรีจะไม่มีการหมดครับ เพราะเป็นเพียงตัวเก็บไฟฟ้าสำรองท่านั้น หากมีการใช้ไฟฟาออกไป เมื่อไดชาร์จทำงานก็จะมีการเติมกระแสไฟฟ้าเข้ามาเหมือนเดิมครับ หากแบตเตอรีหมด อาจเกิดจากไดชาร์จเสื่อมผลิตการแสไฟได้น้อยไม่เพียงพอต่อการใช้งานจึงต้องดึงไฟจากแบตเตอรีมาใช้ เมื่อใช้ไปสักพักกระแสไฟฟ้าจะหมดลงครับ หรือรถยนต์มีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติมมากเกินไปทำให้ไดชาร์จไม่สามารถส่งกระแสไฟไปเก็บสำรองที่แบตเตอรีได้ ทำให้แบตเตอรีหมดครับ
แล้วเมื่อไหร่ถึงควรเปลี่ยนครับ?
ขึ้นอยู่กับอายุการใช้งานของแต่ละชนิดและการดูแลรักษาครับ โดยแบบเปียกอายุการใช้งานอยู่ที่ 1.5-2 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี แบบแห้งอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี ถ้าแบตเตอรี่หมดหลังจากจอดรถทิ้งไว้หรือกระแสไฟฟ้าอ่อนลงมากจนไดสตาร์ทหมุนเครื่องยนต์ไม่ไหว ในขณะที่ระบบไดชาร์จและตัวเครื่องยนต์ปกติ แสดงว่าแบตเตอรีหมดสภาพแล้วครับ โดยสังเกตุได้จากอาการเหล่านี้ ไฟหน้าไม่สว่างเหมือนก่อน กระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง เก้าอี้ไฟฟ้าปรับช้า ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยกว่าเดิม เมื่อมีสัญญาณแบบนี้คงถึงเวลาต้องถอยแบตเตอรีลูกใหม่กันแล้วครับ