สวัสดีครับ ผมกำลังจะเอารถเข้าไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่ศูนย์บริการแล้วเกิดข้อสงสัยถึงเบอร์น้ำมันเครื่องที่มีอยู่หลากหลายรุ่นซึ่งผมไม่ทราบว่าควรเลือกเติมน้ำมันเครื่องในเกรดอะไรดี สำหรับรถของผมเป็นรถเก๋งซีดานเครื่องเบนซินนะครับ รบกวนสอบถามความรู้จากเพื่อนๆด้วยครับ
สรพงษ์ แจ่มจำรัส (nick_giant@hotmail.com)
เจษฎา โชคอำนวย
เติมน้ำมันเครื่องให้ถูกต้องช่วยยืดอายุเครื่องยนต์
เรียนคุณสรพงษ์ สำหรับการเลือกซื้อน้ำมันเครื่องให้เหมาะกับรถในปัจจุบันมีให้เลือกสรรกันหลายเกรด และ หลายยี่ห้อซึ่งจะใช้ส่วนประกอบและมีความหนืดที่แตกต่างกัน โดยการเลือกซื้อน้ำมันเครื่องให้มีความเหมาะสมกับเครื่องยนต์นั้นควรคำนึงถึงค่าความหนืด (เบอร์ของน้ำมันเครื่อง) เกรดของน้ำมันเครื่อง และ มาตรฐานในการผลิตน้ำมันเครื่อง รวมถึงข้อกำหนดในการใช้กับเครื่องยนต์ประเภทใดทั้งเครื่องยนต์ดีเซล และ เบนซินซึ่งรายละเอียดต่างๆเหล่านี้มักมีระบุอยู่บนแกลอนบรรจุน้ำมันเครื่องที่ผู้ขับขี่สามารถอ่านตรวจสอบได้โดยง่าย
สำหรับค่าความหนืด หรือ Viscosity เปรียบเสมือนเป็นค่าต้านทานการไหลโดยมีตัวแปรเป็นอุณหภูมิซึ่งมีหลายหน่วยในการวัด เช่น ระบบเมตริก และ เซนติกโตส โดยการวัดค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องนั้นเป็นไปตามหลักสากลจึงมีหลากหลายสถาบันวิจัยวัดค่าความหนืดและตั้งชื่อค่ามาตรฐานตามชื่อของสถาบันนั้นๆ เช่น API - AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE , SAE - SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS และ ASTM -AMERICAN SOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS
เลือกเติมน้ำมันเครื่องให้ตรงกับชนิดเครื่องยนต์
ส่วนเบอร์น้ำมันเครื่องนั้นมีตั้งแต่เบอร์ 0-60 โดยการวัดค่าความหนืดนั้นจะทำการวัดกันที่ 100 องศาเซลเซียสซึ่งจะได้ออกมาเป็นค่าความหนืดแล้วใช้แทนค่าออกมาเป็นเบอร์ของน้ำมันเครื่องเพื่อกำหนดเป็นค่ามาตรฐานสากลเหมือนกันทั่วโลก อีกทั้งในทุกๆสถาบันที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับน้ำมันเครื่องก็จะใช้ตัวเลขดังกล่าวแทนค่าความหนืดออกมาเป็นตัวเลขบอกเกรดของงน้ำมันเครื่อง เช่น 60 , 50 , 40 , 30 , 20 , 10 และ 5 ยิ่งค่าของตัวเลขมากก็ยิ่งสร้างความหนืดมาก หากตัวเลขมีค่าน้อยก็ยิ่งมีความหนืดน้อยตามไปด้วย
นอกจากนี้แล้วในปัจจุบันในแต่ละบริษัทที่มีการผลิตน้ำมันเครื่องออกมาจำหน่ายยังมีการระบุถึงความเหมาะสมในการใช้งานกับรถในแต่ละประเภทอีกด้วย เช่น For NGV, LPG & Gasoline หมายถึง สามารถใช้ได้ดีกับรถที่ติดแก๊ส NGV และ LPG ส่วน Heavy Duty นั้นมีความหมายว่าใช้ได้ดีกับรถที่บรรทุกหนัก
เมื่อทราบข้อมูลดังนี้แล้วหวังว่าผู้ขับขี่หลายรายสามารถที่จะเลือกน้ำมันเครื่องได้ถูกต้องตรงตามประเภทของเครื่องยนต์เพื่อรักษารถให้มีสภาพที่พร้อมใช้อยู่เสมอครับ