ทิพยวิมล คงแก้ว (thip_kongkew@hotmail.com)
สวัสดีครับ คุณ ทิพยวิมล คงแก้ว
สำหรับปัญหารถยนต์สตาร์ทไม่ติดนั้น มีหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่เสื่อม ไดชาร์จเสื่อม มอเตอร์สตาร์ทเสื่อม ระบบไฟฟ้าในรถที่มีปัญหา แน่นอนว่าถึงแม้จะเห็นว่าระบบไฟของรถยนต์ใช้ได้ปกติ แต่ก็ใช้ว่าแบตเตอรี่จะไม่เสื่อม
ผมจะแนะนำว่าวิธีการตรวจสอบและดูว่าสาเหตุที่รถยนต์สตาร์ทไม่ติดเป็นเพราะอะไรกันแน่
- แบตเตอรี่เสื่อม เนื่องจาตัวแบตไม่สามารถเก็บประจุไว้ได้นาน มีการรั่วไหลของแบต อาการเสื่อมจะมีหลายระดับด้วยกัน ถ้าแบตเสื่อมมากก็สามารถใช้งานได้แค่ 2-3 ชั่วโมง ก็ทำให้แบตหมดและสตาร์ทไม่ติด แน่นอนว่าสัญญาณเตือนจะเห็นได้จากการที่รถสตาร์ทยาก มีเสียงลากยาวกว่าจะสตาร์ทติด ส่วนมากจะเกิดขึ้นกับรถจอดทิ้งไว้เป็นเวลานาน การแก้ปัญหาก็คือการพ่วงแบตกับคันอื่น
- ไดชาร์จเสื่อม จะคล้ายๆกันกับแบตเตอรี่เสื่อม แต่จะต่างกันตรงที่รถจะดับในเวลาที่มีรอบต่ำ หรือดับขณะการขับขี่ ซึ่งหากรถสตาร์ทไม่ติดเนื่องมาจากไดชาร์จเสื่อม โดยที่ยังเสื่อมไม่มาก จะสามารถแก้ไขปัญหาได้โดยการพ่วงแบต วิธีการตรวจสอบว่าเสื่อมหรือไม่ก็คือสตาร์ทรถทิ้งไว้สักครู่แล้วให้ถอดขั้วแบตออก หากรถดับทันที ไฟตก หรือรถกระตุก แสดงว่ามีสาเหตุมาจากไดชาร์จเสื่อม
ไดชาร์จรถยนต์ที่อาจเกิดปัญหาและทำให้สตาร์ทรถไม่ติด
- มอเตอร์สตาร์ทเสื่อม
หลังจากที่รถสตาร์ทไม่ติด ถึงแม้จะถ่วงแบตหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่แล้ว ให้คาดการณ์ไว้ว่าอาจจะเป็นเพราะมอเตอร์สตาร์ทมีปัญหาอย่างแน่นอน วิธีการแก้ไขก็คือต้องให้ผู้ชำนาญการมาแก้ไขและซ่อมให้ครับ เพราะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองอย่างแน่นอน
- ระบบไฟฟ้ามีปัญหา ถือว่าเป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นได้น้อยมากเมื่อเกิดปัญหารถยนต์สตาร์ทไม่ติด วิธีการสังเกตก็คือ เมื่อบิดกุญแจแล้วไฟที่แผงหน้าปัดไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยให้ลองพ่วงแบตหากไม่มีการตอบสนองแสดงว่าเป็นเพราะระบบไฟฟ้า โดยวิธีการแก้ไขก็คือการนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อซ่อมหรืออาจจะใช้อู่ซ่อมใกล้บ้านก็ได้เช่นเดียวกัน
วิธีการแก้ไขปัญหาโดยการพวงแบตเตอรี่รถยนต์
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้รถยนต์สตาร์ทไม่ติดอาจจะมีสาเหตุอื่นๆด้วยเช่นเดียวกัน อย่างเช่น สายไฟในรถขาดเนื่องจากมีหนูกัด หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ภายในที่มีปัญหา โดยจะมั่นใจได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไรได้ก็คือการนำรถเข้าไปตรวจเช็คที่ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถยนต์ครับ