สวัสดีค่ะพอดีอยากจะสอบถามถึงในกรณีที่เราต้องขับรถไปในระยะทางไกลแล้วพบเข้ากับปัญหารถแบตเตอรี่หมดแล้วต้องทำการต่อสายพ่วงเพื่อทำการชาร์จแบตเตอรี่แต่กลับมีปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรเกิดขึ้นในระหว่างที่ทำการชาร์จไฟไม่ทราบว่าสามารถที่จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรบ้างค่ะเพราะโดยส่วนตัวแล้วยังไม่เคยประสบเหตุแต่ขอทราบเป็นแนวทางไว้ก่อนค่ะ
กรกนก นิ่มมณี (kornkanok_gee@hotmail.com)
เจษฎา โชคอำนวย
สวัสดีครับ คุณกรกนก สำหรับปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรในระหว่างที่ทำการชาร์จแบตเตอรี่นั้นสามารถที่จะเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดแต่ก็ไม่เสมอไปหากผู้ขับขี่รู้จักวิธีการใช้งาน อย่างไรก็ตามต้องเรียนให้ทราบก่อนว่าการต่อพ่วงแบตเตอรี่นั้นก็ต้องมีการดำเนินการอย่างถูกต้อง หรือ ในกรณีที่ไม่ทราบวิธีการใช้งานสายพ่วงแบตเตอรี่ก็อาจมีความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดไฟลัดวงจรขึ้นได้ส่งผลให้ขั้วแบตเตอรี่เสียหายและไม่สามารถที่จะดำเนินการต่อพ่วงเพื่อทำการชาร์จไฟใหม่ได้อีกครั้ง
เผยเคล็ดลับพ่วงแบตเตอรี่กันไฟลัดวงจร
เคล็ดลับพ่วงแบตเตอรี่ป้องกันไฟลัดวงจรในประการแรกผู้ขับขี่ควรเลือกใช้สายพ่วงแบตเตอรี่ที่มีความแข็งแรงทนทานมีสภาพปกติไม่ชำรุดหรือมีรอยรั่ว เนื่องจากการเตรียมสายพ่วงแบตเตอรี่ติดรถเอาไว้ช่วยให้ผู้ขับขี่มีความพร้อมในการเดินทางอยู่ตลอดหากในระหว่างขับขี่ต้องพบเจอเข้ากับเหตุการณ์แบตเตอรี่หมดก็สามารถที่จะนำสายพ่วงแบตเตอรี่ที่ตนเองมีติดรถนำมาใช้ได้อย่างสะดวกอีกทั้งยังสามารถคลายความกังวลได้ว่ารถคันที่เข้ามาช่วยเหลือจะไม่มีสายชาร์จอีกด้วย
ส่วนขั้นตอนการพ่วงแบตเตอรี่อย่างถูกวิธีนั้นก็ไม่ได้มีความซับซ้อนเท่าไรนักเริ่มต้นเพียงแค่บิดกุญแจเพื่อดับเครื่องยนต์ และ ปิดการทำงานของระบบไฟฟ้าที่มีในรถทั้งหมด ก่อนนำสายพ่วงแบตเตอรี่มาเสียบชาร์จไฟกับแบตเตอรี่ของรถคันที่มีแบตเตอรี่เต็มอยู่ โดยนำหัวของสายพ่วงขั้วบวกซึ่งจะมีสีแดงมาต่อพ่วงเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วบวกจากนั้นจึงนำหัวของสายพ่วงขั้วลบซึ่งจะมีสีเขียว หรือ สีดำเข้ามาต่อพ่วงกับขั้วลบของรถคันที่แบตเตอรี่เต็มอยู่อีกเช่นเดียวกัน
แนะนำวิธีการพ่วงแบตเตอรี่
เมื่อดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนำสายหัวต่อที่เหลือมาต่อเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องยนต์ในรถคันที่แบตเตอรี่หมด โดยเว้นระยะห่างจากแบตเตอรี่เล็กน้อย หรือ ใช้แตะในส่วนตัวยึดแบตเตอรี่ได้เช่นกัน จากนั้นจึงสตาร์ทรถคันที่ยังมีแบตเตอรี่เต็มอยู่เพื่อชาร์จไฟให้กับคันที่แบตเตอรี่หมดโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 3 นาที หลังจากนั้นจึงทำการเร่งเครื่องยนต์เพื่อให้ประจุไฟฟ้าไหลเวียนได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและถือเป็นการป้องกันปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรอีกด้วย
อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ขับขี่ทำการชาร์จแบตเตอรี่ไปได้ระยะหนึ่งจึงทำการสตาร์ทเครื่องยนต์รถคันที่แบตเตอรี่หมดพร้อมทั้งเร่งเครื่องให้รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณ 1,500-2,000 รอบ/นาที เพื่อเช็คดูประจุไฟฟ้าว่าได้ไหลเข้าสู่แบตเตอรี่หรือไม่ หากสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเร่งเครื่องยนต์แล้วรถไม่ดับก็แสดงว่าการชาร์จไฟแบตเตอรี่ประสบความสำเร็จสามารถที่จะถอดสายชาร์จแบตเตอรี่ออกได้
นอกจากนี้แล้วในระหว่างที่ผู้ขับขี่สัมผัสกับแบตเตอรี่ควรระวังน้ำกรดซึ่งมีฤทธิ์อันตรายมาสัมผัสเข้ากับผิวหนังและพึงระวังการเกิดประกายไฟในขณะชาร์จซึ่งจะทำให้ขั้วแบตเตอรี่เกิดอาการช็อตขึ้นได้ครับ