13:47, 31 พ.ค. 2567

ปอร์เช่ (Porsche) ให้ความสำคัญต่อระบบขับเคลื่อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในการขนส่งสินค้า

บันทึกรายการ

ปอร์เช่ (Porsche) ให้ความสำคัญต่อระบบขับเคลื่อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในการขนส่งสินค้า

  • ก้าวสำคัญสู่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ด้วยการใช้รถบรรทุกขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเข้ามาแทนที่ยานพาหนะระบบขับเคลื่อนแบบเดิมและใช้ก๊าซชีวภาพ
  • รถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่ (HGV) รุ่นใหม่ ใช้ในการส่งมอบรถยนต์รุ่นใหม่ไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์
  • โครงการนำร่องเพื่อทดสอบน้ำมันดีเซลสังเคราะห์ (HVO100)
  • สตุ๊ตการ์ท. ปอร์เช่ (Porsche) เดินหน้าอย่างเต็มที่ในการใช้ระบบขับเคลื่อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการขนส่งสินค้าร่วมกับพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ โดยการนำรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่ (HGV) จำนวน 6 คัน มาใช้ในโรงงานซุฟเฟนเฮาเซ่น (Zuffenhausen), ไวส์ซาค (Weissach) และไลพ์ซิก (Leipzig) ซึ่งรถยนต์เหล่านี้ทำหน้าที่ขนส่งวัสดุการผลิตไปทั่วโรงงาน โดยทำงานร่วมกับกองทัพรถบรรทุก HGV ที่ใช้ก๊าซชีวภาพจำนวน 22 คันที่มีอยู่เดิม นอกจากนี้ยังมีรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่ (HGV) รุ่นใหม่ ทำหน้าที่ส่งมอบรถยนต์รุ่นใหม่ไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์จากโรงงานซุฟเฟนเฮาเซ่น (Zuffenhausen) นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ในระหว่างการทดสอบการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (HVO100) จากการทดลองในระยะเวลาหลายปี ภายใต้การกำกับดูแลทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันเทคโนโลยีคาร์ลสรูเฮอ (KIT) โดยจะนำรถบรรทุกขนาดใหญ่จำนวน 12 คันจากจำนวนที่มีอยู่ มาเปลี่ยนใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน

    อัลเบรชท์ ไรโมลด์ (Albrecht Reimold) สมาชิกคณะกรรมการบริหารฝ่ายการผลิตและโลจิสติกส์ของปอร์เช่ เอจี (Porsche AG) กล่าว “การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ความยั่งยืนของเรา การใช้รถบรรทุกที่มีระบบขับเคลื่อนและน้ำมันเชื้อเพลิงทางเลือกถือเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของเรา เราตั้งใจที่จะเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนที่ผสมผสานกันอย่างเหมาะสมตามกับวิธีการใช้งานของแต่ละยานพาหนะ”

    ในกระบวนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุก HGV และ รถบรรทุกที่ใช้ก๊าซชีวภาพ อย่าง CNG และ LNG ได้ถูกนำมาใช้ที่ปอร์เช่มานานแล้ว ปัจจุบัน รถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่รุ่นใหม่จะเข้ามาเสริมทัพ โดยพันธมิตรด้านโลจิสติกส์อย่าง เคลเลอร์ กรุ๊ป (Keller Group), Müller – Die lila Logistik และเอลเฟลิน (Elflein)  ต่างก็มุ่งมั่นที่จะใช้รถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่เหล่านี้ด้วยพลังงานไฟฟ้าสะอาด ซึ่งรวมถึงรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่รุ่นใหม่ที่บริษัทโลจิสติกส์ Galliker ใช้ในการส่งมอบรถยนต์รุ่นใหม่ไปยังตลาดสวิตเซอร์แลนด์จากโรงงาน ปอร์เช่ (Porsche) ในเมืองซุฟเฟนเฮาเซ่น (Zuffenhausen)

    การใช้เชื้อเพลิงทดแทนกับรถบรรทุก HGV ที่มีอยู่

    นอกเหนือจากการขยายกลุ่มยานยนต์ HGV แบบพลังงานไฟฟ้าแล้ว ปอร์เช่ (Porsche) ยังได้ริเริ่มโครงการนำร่องการใช้เชื้อเพลิงดีเซลสังเคราะห์ (Hydrotreated Vegetable Oil: HVO100) ในบรรดารถบรรทุกที่มีอยู่เดิมตั้งแต่ปี 2020 โดยร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีคาร์ลสรูเฮอ (Karlsruhe Institute of Technology: KIT) และMüller – Die lila Logistik บริษัทโลจิสติกส์ ใช้รถบรรทุก HGV จำนวน 12 คัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เชื้อเพลิง HVO100 ของ NESTE ที่ผลิตจากเศษวัสดุเหลือใช้และขยะ และเป็นไปตามข้อกำหนดปัจจุบันของ Renewable Energy Directive II (RED II) จากการใช้งานจริง เชื้อเพลิงนี้แสดงผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ ไม่มีการระบุข้อเสียใดๆ เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันดีเซลทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงหรือประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ จนถึงปัจจุบัน โครงการนี้มีการขับรถบรรทุกไปแล้วกว่าหนึ่งล้านกิโลเมตร ซึ่งจากการวัดอย่างเป็นทางการโดยสถาบัน KIT พบว่าสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 800 ตัน โดยมีการทดสอบใช้รถบรรทุกไฟฟ้าวิ่งขนส่งบนเส้นทางเดียวกันกับรถบรรทุกที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งรถบรรทุกทุกคันจะเป็นยานพาหนะที่ไม่มีการดัดแปลงใดๆ เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลและประเมินว่ารถบรรทุกไฟฟ้าเหมาะสมกับการให้บริการขนส่งในเขตพื้นที่สตุ๊ตการ์หรือไม่

    การขนส่งทางรถไฟและถนน – ระบบขนส่งของปอร์เช่ (Porsche)

    ตัวอย่างที่มีมากมายในการใช้รถบรรทุก HGV แบบก๊าซชีวภาพและไฟฟ้า หรือโครงการนำร่องที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงทางเลือก เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของ ปอร์เช่ (Porsche) ในการบริหารจัดการระบบขนส่งสินค้าอย่างจริงจัง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ตั้งไว้ ซึ่งรวมถึงการขนส่งทางรถไฟ ที่ใช้สำหรับการส่งชิ้นส่วนและอุปกรณ์ไปยังโรงงานหรือขนส่งรถยนต์ใหม่ไปยังท่าเรือ เพื่อเตรียมการส่งออกไปยังปลายทางนอกยุโรป นอกจากนี้ในส่วนของกระบวนการผลิตยานยนต์นั้น ก็ยังมีส่วนในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด้วยเช่นกัน โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 การผลิตรถยนต์ที่โรงงานของปอร์เช่ในเมืองซุฟเฟนเฮาเซิน และเมืองไลพ์ซิก มีผลคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นกลางตลอดทั้งห่วงโซ่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และยังใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแหล่งพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย

    ในหมวดเดียวกัน