14:03, 12 ก.ย. 2562

All-new Land Rover Defender 2020 การกลับมาของตำนาน 4x4

บันทึกรายการ

All-new Land Rover Defender 2020 การกลับมาของต้นตำนาน 4x4 เปิดตัวงานแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์ โชว์ 2019 มีให้เลือก 2 ตัวถัง ราคาเริ่มต้นแพงกว่า Range Rove Evoque และ Land Rover Discovery Sport ไปอีก


All-new Land Rover Defender 2020 (ซ้าย : Defender 90 ขวา : Defender 110)

จากต้นตำนาน 4x4 (โฟร์บายโฟร์) หรือรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ของอังกฤษ Land Rover Series I ถูกสร้างขึ้นมาในฐานะรถใช้งาน สามารถบุกป่า ฝ่าดง ในเส้นทางที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเส้นทาง ด้วยรูปทรงที่เรียบง่าย เหมาะกับ “สภาพความเป็นจริง” ทั้งในแง่ของการผลิตและการใช้งานช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้ Land Rover มีคาแรกเตอร์ที่ “เด่นชัด” ยาวนานข้ามผ่านกาลเวลาล่วงมาจนถึง Land Rover Defender ก่อนจะหยุดสายการผลิตไปในปี 2016 เพื่อเปิดทางให้กับ All-new Land Rover Defender 2020 ในยุคที่รถ 4x4 เป็นมากกว่ารถออฟ-โรด


All-new Land Rover Defender 2020


All-new Land Rover Defender 2020

การกลับมาของ All-new Land Rover Defender 2020 ครั้งใหม่นี้ ยังคงเป็นการนำเอา Land Rover Defender รุ่นคลาสสิกมาตีความใหม่ให้เข้ากับศตวรรษที่ 21 ด้วยทรีตเมนต์เรียบง่ายแต่โมเดิร์น ทั้งองค์ประกอบด้านหน้า-ด้านท้าย แกะมาแทบจะทุกรายละเอียดของรุ่นก่อนหน้า ไม่เว้นแม้แต่ช่องแสงบนขอบหลังคาที่เรียกว่า Alpine Light Windows มาตั้งแต่ Land Rover Series I เป็นอะไรที่น่าประทับใจมาก

เช่นเดียวกับสัดส่วนทรงกล่องบนจุดพิกัดเดิม ทั้งรุ่น Defender 90 (ช่วงสั้น 3 ประตู 5 ที่นั่ง ระยะฐานล้อยาว 102  นิ้ว) และรุ่น Defender 110 (มาตรฐาน 5 ประตู 5 และ 5+2 ที่นั่ง ระยะฐานล้อ 119 นิ้ว) โดยทั้ง 2 รุ่น จะยังคงวางตำแหน่งของล้อทั้ง 4 อยู่เกือบสุดมุมตัวถังดังเช่นที่เคยเป็นสำหรับการเป็นรถลุยผ่านอุปสรรคได้อย่างสะดวก แต่วางบนแพลตฟอร์มใหม่เอี่ยม D7x แบบ Monocoque (ไม่ใช้ Base on Frame อีก) ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาโดยที่ไม่แชร์แพลตฟอร์มหรือขึ้นไลน์ผลิตร่วมกับรถรุ่นใดของ Land Rover เลย


หลังคากระจก Panoramic Roof และช่องแสง Alpine Light Windows เอกลักษณ์เฉพาะของ Land Rover


D7x Platform สถาปัตยกรรมโครงสร้างใหม่ล่าสุดเฉพาะ Land Rover Defender ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา

ส่วนทางด้านภายในของ All-new Land Rover Defender 2020 พยายามย้อนกลับไปหารากเดิมคือความเรียบง่าย Practical จริงจังและชัดเจน เว้นเสียแต่รายละเอียดถูกปรับปรุงให้ทันสมัยและมีความพรีเมียมตามแบบฉบับ Land Rover ยุคใหม่ ที่ก้าวผ่านยุคของการเป็นรถใช้งานไปนานแล้ว

นอกจากนี้ All-new Land Rover Defender 2020 ยังมีลูกเล่นอย่างเบาะ Jump Seat อยู่ตรงกลางระหว่างเบาะคู่หน้าแทนคอนโซลกลาง ซึ่งทำให้เบาะแถวหน้ารองรับผู้โดยสารได้ถึง 3 คน และยังพับพนักพิงได้เพื่อให้สะดวกในการข้ามไปมาระหว่างเบาะหน้าและหลัง แต่จะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเฉพาะ Defender 90 First Edition ส่วน Defender 110 เป็นออปชั่น


เบาะ Jump Seat พับได้ ออปชั่นเสริมใน Defender 90 และ 110

ทางด้านขุมพลัง All-new Land Rover Defender 2020 แบ่งไว้สำหรับหลายภูมิภาค เช่น

  • รุ่น D200 ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลัง 200 แรงม้า และแรงบิด 430 นิวตันเมตร
  • รุ่น P300 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลัง 300 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตันเมตร
  • รุ่น P400 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ 3.0 ลิตร ทวินสกรอลล์เทอร์โบ ทำงานผสานกับมอเตอร์ (Mild-Hybrid) ให้กำลัง 400 แรงม้า และแรงบิด 550 นิวตันเมตร

สำหรับระบบส่งกำลังของ All-new Land Rover Defender 2020 จะเป็นแบบอัตโนมัติ 8 สปีด พร้อม Twin-Speed Transfer Box หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเป็นแบบกึ่งพาร์ตไทม์ ที่มีเกียร์สโลวให้เลือกใช้งาน สำหรับเส้นทางออฟ-โรด

โดย All-new Land Rover Defender 2020 ในสหรัฐฯ ตอนนี้จะมีเฉพาะรุ่น Defender 110 และเกรดให้เลือก (รวมรุ่นพิเศษ First Edition) ดังนี้

  • รุ่น P300 Standard ราคา 49,900 ดอลลาร์ (1.53 ล้านบาท)
  • รุ่น P300 S ราคา 53,350 ดอลลาร์ (1.63 ล้านบาท)
  • รุ่น P400 SE ราคา 62,250 ดอลลาร์ (1.9 ล้านบาท)
  • รุ่น P400 HSE ราคา 68,350 ดอลลาร์ (2.09 ล้านบาท)
  • รุ่น P400 First Edition ราคา 68,650 ดอลลาร์ (2.10 ล้านบาท)
  • รุ่น P400 X ราคา 80,900 ดอลลาร์ (2.48 ล้านบาท)

*หมายเหตุ รุ่น D200 ไม่มีจำหน่ายในสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตามจากราคาข้างต้นจะเห็นได้ว่า All-new Land Rover Defender 2020 รถ 4x4 รุ่นสืบทอดตำนานนั้นไม่ใช่รถที่ราคาถูกแบบรถใช้งานเหมือนยุคแรกอีก (อันที่จริงยุคท้าย ๆ ก่อนยุติการผลิตก็ไม่ถูกอยู่แล้ว) เพราะราคาเริ่มต้นแพงกว่าทั้ง Range Rover Evoque และ Land Rover Discovery Sport ยิ่งเป็นเกรดสูงหรือบวกออปชั่นและแพ็กเกจตกแต่งที่มีให้เลือกยาวเหยียดราคาอาจแตะ 100,000 ดอลลาร์ หรือราว 3 ล้านบาท ได้เลย  เรียกว่าผันตัวจากรถสายลุยดิบ ๆ มาเป็นตัวแทนของรถออฟ-โรดที่เน้นไลฟ์สไตล์ สะดวกสบาย เต็มไปด้วยความพรีเมียมและความชิคโดยสมบูรณ์

ดูเพิ่มเติม

ATS

ในหมวดเดียวกัน