ยังคุ้มค่า แม้ผ่านเวลามากว่า 10 ปี เพราะปัจจุบันสามารถหาซื้อ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ มือสอง ราคา 350,000-500,000 บาท ได้แล้ว ซึ่งสมัยยังเป็นรถใหม่ป้ายแดงนั้นเกินล้าน ตอนนี้ลดลงมาอยู่ในระดับเดียวกับอีโคคาร์ป้ายแดงรุ่นล่าง แต่ให้อรรถประโยชน์มากกว่าและยังขึ้นชื่อในเรื่องความทนทาน ประกอบกับชื่อเสียง ความนิยม ตลอดจนการยอมรับ ทำให้รถ PPV ยืนหนึ่งของ Toyota ที่ถึงจะเก่าปี ก็ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง ขนาดกาลเวลายังทำลายได้ยาก
หากตั้งงบไว้ 350,000-500,000 บาท ถ้าเป็นรถใหม่ คงไม่สามารถซื้อรถยนต์นั่งได้ดีไปกว่าอีโคคาร์รุ่นล่าง ๆ ซึ่งดีแน่ในเรื่องของความสดใหม่ ไร้กังวล ขนาดกระทะรัด ประหยัดค่าเชื้อเพลิงและการบำรุงรักษา แต่ทันทีที่เพิ่มเงื่อนไขในการใช้งานลงไป เช่น ต้องเดินทางพร้อมกันได้ 7 คน สบาย ๆ ตัวรถต้องมีขนาดใหญ่โต ขับแล้วภาพลักษณ์ดี ทนทาน บำรุงรักษาง่ายและไม่จุกจิกมากนัก ยังไงก็ต้องมีชื่อ Toyota Fortuner มือสองอยู่ในตัวเลือก
โดยงบดังกล่าว ปัจจุบันพอสามารถหาซื้อ Toyota Fortuner มือสอง รุ่นปี 2005-2009 ได้ ซึ่งราคาประกาศขายในตลาดรถมือสองส่วนมากจะเริ่มต้นที่ 350,000 บาท แล้วแต่สภาพ แต่มักเป็นโฉมแรกสุดก่อนไมเนอร์เชนจ์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร ส่วนเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร ราคาจะขยับสูงขึ้น
ขณะที่ปลายงบ 500,000 บาท อาจได้โฉมไมเนอร์เชนจ์ เครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร หรือถ้าต้องการดีเซล 3.0 ลิตร คงต้องปรับเพิ่มงบไปอีกสักราวครึ่งแสนบาทเห็นจะพอได้
Toyota Fortuner ไมเนอร์เชนจ์ (ครั้งที่ 1)
สำหรับ Toyota Fortuner โฉมแรก (รวมถึงไมเนอร์เชนจ์) ระหว่างปี 2005-2009 จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบตามที่กล่าวถึงไปแล้ว ได้แก่
อย่างไรก็ตามช่วงปลายปี 2009 ด้วยกระแสความนิยมต่อเนื่อง จึงมีการเพิ่มขุมพลังใหม่เข้ามาในไลน์อัพเพื่อขยายกลุ่มลูกค้า ราคาต่ำลง ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 144 แรงม้า แรงบิด 343 นิวตันเมตร
ปัจจุบัน โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ มือสอง ราคา 350,000-500,000 บาท จึงยังคงความน่าสนใจ หากต้องการขนาด พละกำลัง พื้นที่ใช้สอย จำนวนที่นั่ง ความทนทาน และชื่อเสียงของผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือในระดับสูง ซึ่งหลายอย่างอีโคคาร์ป้ายแดงไม่สามารถตอบโจทย์ได้หมดในงบเดียวกัน
อย่างไรก็ตามหากตัดสินใจเลือก โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ มือสอง ราคา 350,000-500,000 บาท สิ่งที่ควรต้องคำนึงถึงคือการเสื่อมสภาพตามกาลเวลาและการใช้งาน ซึ่งด้วยความทนถึกโดยธรรมชาติ หลายคันจึงผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน อาจถึงจังหวะที่ต้องฟื้นฟู ซ่อมแซม เพื่อให้พร้อมใช้งาน จึงควรต้องกันงบไว้บ้างก็เท่านั้น