15:44, 15 พ.ค. 2561

ส่องรถ SUV 5 ค่ายที่คุ้มราคา น่าซื้อมากที่สุดในปี 2018

บันทึกรายการ

และในปัจจุบันนี้ SUV ก็มีออกมาให้เลือกซื้อจับจองเป็นเจ้าของมากมายหลายค่าย ส่วนราคาก็มีตั้งหลักแสนปลายๆ ไปจึงถึงหลักล้าน ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบและกำลังทรัพย์ในกระเป๋าของแต่ละคน


ส่องรถ SUV 5 ค่ายที่คุ้มค่าคุ้มราคาน่าจับจอง

ถ้าลองมองไปบนท้องถนนทุกวันนี้จะสังเกตเห็นได้ว่ารถ SUV หรือรถเอกนกประสงค์ เริ่มมีให้เห็นมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะคนส่วนใหญ่ที่มีกำลังซื้อรถใหม่ป้ายแดง 50% จะเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว หรืออาจจะเป็นการซื้อรถใหม่ป้ายแดงคันที่สองเพื่อรองรับสมาชิกในครอบครัว ซึ่งสำหรับคนที่มีคอรบครัวนั้นรถ SUV ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อความสะดวกสบายของทุกคนในครอบครัว  จะไปไหนมาไหนก็สามารถไปได้แบบพร้อมหน้าพร้อมตากัน และนอกจากรถ SUV จะเป็นรถครอบครัวแล้ว รถ SUV ก็ยังเป็นรถเอนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบเบาะที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังเพื่อเป็นพื้นที่ในการวางสัมภาระต่างๆ ได้อีกด้วย

- 5 เหตุผลสำหรับการเลือกรถใหม่ป้ายแดงให้คุ้มค่าคุ้มราคา

- รถครอบครัวราคาไม่เกิน 800,000 บาท มีอยู่จริงหรือ ???

และในปัจจุบันนี้ SUV ก็มีออกมาให้เลือกซื้อจับจองเป็นเจ้าของมากมายหลายค่าย ส่วนราคาก็มีตั้งหลักแสนปลายๆ ไปจึงถึงหลักล้าน ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบและกำลังทรัพย์ในกระเป๋าของแต่ละคน และวันนี้ Khaorot.com ก็จะมาแนะนำรถ SUV ทั้ง 5 ค่ายที่คุ้มค่าคุ้มราคาน่าจับจอง ให้หลายๆ คนที่กำลังจะตัดสินใจซื้อรถ SUV มาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว แต่จะมีของค่ายไหนบ้างมาลองดูกันคะ


New MG ZS 

1. New MG ZS รถ SUV เอนกประสงค์ ที่ราคาเบาๆ กำลังดี เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มต้นสร้างครอบครัวและฐานเงินเดือนอาจจะไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ แต่ก็อยากจะมองความสะดวกสบายให้กับครอบครัว ด้วยราคาที่เป็นมิตรโดย New MG ZS แบ่งออกเป็น 3 รุ่น มี รุ่น C ราคา  679,000 บาท รุ่น  D ราคา 729,000 บาท และ รุ่น X ราคา 789,000 บาท

ซึ่งจุดเด่นของ New MG ZS นั้นจะอยู่ที่แผงกระจังหน้าลายรังผึ้งสีดำ ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์สามารถเปิด-ปิดได้แบบอัตโนมัติ แต่จะมีเฉพาะรุ่น X  ส่วนไฟท้ายจะเป็นแบบ LED ทิวบ์  ฝากระโปรงหลังก็ใส่ลูกเล่นให้แปลกตาเข้าไปด้วยการออกแบบให้มือจับเป็นชุดเดียวกับโลโก้  New MG ZS เป็นรถ SUV อเนกประสงค์ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิลขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลัง 114 แรงม้า ผสมผสานการทำงานควบคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติพร้อม MANUAL MODE ที่เพิ่มความเร้าใจยิ่งขึ้นกับพวงมาลัยไฟฟ้าที่ให้ทุกการควบคุมแม่นยำ มาพร้อมกับโหมดการปรับน้ำหนักถึง 3 โหมด COMFORT / NORMAL / SPORTS และปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ เพื่อให้คุณมั่นใจในทุกการขับขี่เครื่องยนต์มีจังหวะการจุดระเบิดที่ดีมากกว่ารุ่นอื่นๆ  ที่ผ่านมา และ New MG ZS ได้มีการปรับค่า Friction เพื่อให้ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์บางชิ้นเบาลงกว่าเดิม ส่วนเรื่องล้อแม็ค New MG ZS ก็จัดมาให้แบบสวยงามมาก ทั้งล้อแม็คขนาด 17 นิ้ว ลาย 5 ก้าน Octagon สำหรับรุ่น X  และขนาด 16 นิ้ว ลายก้านวาย  สำหรับรุ่น C และ D  ภายในห้องโดยสารมีระบบนวดไฟฟ้าสำหรับเบาะที่นั่ง ช่วยให้คุณรู้สึกสบายและผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า หรือปวดเมื่อยในขณะขับขี่

ด้านความปลอดภัย New MG ZS  เป็นรถ SUV ที่มอบความปลอดภัยให้กับชีวิตของผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป มีทั้ง FULL SPACE FRAME ซึ่งเป็นโครงสร้างตัวถังนิรภัย (FSF) ที่ช่วยลดและดูดซับแรงกระแทกที่จะเข้าสู่ห้องโดยสารเพื่อให้ทุกคนในห้องโดยสารปลอดภัยมากขึ้น  ระบบ TIRE PRESSURE MONITOR SYSTEM  เป็นระบบตรวจสอบและแจ้งเตือนลมยางมีความผิดปกติ ระบบ REARVIEW CAMERA & PARKING SENSOR  เป็นระบบที่ช่วยให้ผู้ขับขี่มีความมั่นใจในการถอยหลัง ไม่ว่าจะถอยหลังเพื่อตั้งลำหรือถอยหลังเข้าจอดด้วยกล้องมองหลังและสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง ระบบ FOLLOW ME HOME LIGHTไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ เพิ่มความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แลยังมีถุงลมนิรภัย 6 จุด ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย

และนอกจากอุปกณ์ทั้งภายนอกและภายในรวมถึงอุปกณ์ด้านความปลอดภัยที่ New MG ZS   จัดมาให้แล้ว New MG ZS    ยังเป็นรถ SUV เพื่อการใช้ชีวิตในโลกยุคดิจิตอลที่สะดวกสบายสูงสุด ที่มีระบบ i-SMART SYSTEM ซึ่งเป็นระบบอัจฉริยะทำให้คุณไม่พลาดทุกการติดต่อ ด้ายการเชื่อมต่อกับโลกโซเซียลแบบ Real Time ด้วย 3 ช่องทางอัจฉริยะ คือ การสั่งงานด้วยเสียง  ระบบสั่งการผ่านหน้าจอทัชสกรีน  และระบบสั่งการผ่านแอพพลิเคชั่นมือถือ และนอกจากนี้ก็ยังมีชุดเอ็นเตอร์เทนเมนท์ในรถยนต์ ตอบสนองความบันเทิงเต็มอารมณ์ด้วยจอแสดงผลแบบ TOUCHSCREEN ขนาด 10.1 นิ้ว ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์, Wi-Fi, พร้อมช่องเสียบ USB, HDMI รวมถึงสามารถลิ้งค์ และรับข้อมูลกับมือถือได้ และมาพร้อมกับชุดหูฟังไร้สาย แถมท้ายด้วยกล้องบันทึกการขับขี่ ช่วยบันทึกเหตุการณ์สำคัญในขณะขับขี่ ผลิตด้วยวัสดุคงทนต่อสภาพอากาศร้อน ดีไซน์หรูหรากลมกลืนกับห้องโดยสาร พร้อมรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กม.


Toyota C-HR 2018

2. Toyota C-HR 2018 จะออกมาเน้นการดีไซน์ที่เป็นแบบไลฟ์สไตล์ สวยแก๋ เท่ ทันสมัย และดุโฉบเฉี่ยว  ด้วยไฟหน้าเป็นโปรเจคเตอร์ที่ยาวเรียวแบบ แบบ Bi-Led ในรุ่นไฮบริดและ Bi-Halogen รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน  และยังมีไฟ LED Daylight, ไฟตัดหมอก, กระจกมองข้างปรับพับไฟฟ้าและพับเก็บได้พร้อมไฟเลี้ยว LED, ไฟส่องพื้น Welcome Lamp, สปอยเลอร์ท้ายแนวเดียวกับหลังคาพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3, ไฟท้าย LED C-Shape เป็นต้น ซึ่ง Toyota C-HR 2018 จะมีให้เลื่อก 4 รุ่น คือ Toyota C-HR HV Hi (ไฮบริด) , Toyota C-HR HV Mid (ไฮบริด) , Toyota 1.8 Mid (เบนซิน) , Toyota 1.8 Entry (เบนซิน) ส่วนสีของ Toyota C-HR 2018 ก็มีให้เลือกสรรมากมาย 6 สีด้วยกัน  สีทูโทนจะมีด้วยกัน 3 สี คือ สีแดงหลังคาดำ พรีเมียม เรด/แบล็ก , สีน้ำเงินหลังคาดำ บลู เมทัลลิก/แบล็ก , สีเขียวหลังคาดำ เรเดียนต์ กรีน เมทัลลิก/แบล็ก มีเฉพาะรุ่นไฮบริด และสีพื้นอีก 3 สี สีขาวมุก ไวท์ เพิร์ล คริสตัล , สีเทา เมทัล สตรีม เมทัลลิก , สีดำ แอตติจูด แบล็ก ไมก้า ส่วนสีพื้นนี้จะมีให้เลือกได้ทั้ง รุ่นไฮบริดและรุ่นเบนซิล

การตกแต่งภายในแน้นความเป็นสปอร์ตแต่ก็ไม่ทิ้งกลิ่นไอความหรูหราทันสมัยเหมือนหลุดออกมาจากโลกอนาคต  และมาพร้อมกับออฟชั้นและระบต่างๆที่ทันสมัยล้ำหน้า อย่างแช่น ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ (Push Start) และระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry) ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมระบบกรองอากาศภายในห้องโดยสาร Nanoe, ระบบจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว, เบาะนั่งด้านหลังแยกพับได้แบบ 60:40, แพลตฟอร์ม TNGA ที่ช่วยขยายความกว้างขวางของกระจกบังลมหน้า เพิ่มทัศนวิสัยได้มากยิ่งขึ้น แค่นี้ยังไม่พอ   Toyota C-HR ยังได้บรรจุเทคโนโลยีระบบ Telematics เชื่อมต่อรถยนต์ด้วยเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ กับแอพพลิเคชั่น T-Connect & Find My Car เสมือนเป็นเลขาส่วนตัว อำนวยความสะดวกในการติดตามสภาพรถ ปล่อยสัญญาณ Wifi ระบบนำทาง และอื่นๆ อีกมากมาย

Toyota C-HR 2018  มาพร้อมกับเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร กับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่แบตเตอร์รี่ระบายความร้อนได้มากๆ และมีการรับประการใช้งานยาวนานถึง 10 ปี ส่วน Toyota C-HR   เครื่องยนต์เบนซิลเป็นเครื่องยนต์เบนซิล 2ZR-FXE  Atkinson cycle-4 วาล์วต่อสูบ ขนาด 1,798 ซีซี สมรรถนะสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที ผสานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าชนิดมอเตอร์ซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 600 โวลต์ กำลังสูงสุด 53 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 163 นิวตัน-เมตร และแบตเตอรี่นิกเกิลเมตัลไฮดราย 28 โมดูล แรงดันไฟฟ้า 201.6 โวลต์ ความจุไฟฟ้า 6.5 แอมแปร์/3 ชั่วโมง

เปรียบเทียบระหว่าง Toyota C-HR กับ Honda HR-V เราควรซื้อคันไหนดี ?

ด้านปลอดภัย  Toyota C-HR 2018   นั้นก็มี ระบบป้องกันล้อล็อค ABS (Anti-lock Brake System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-force Distribution) ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist) ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction Control)  ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-start Assist Control)  ถุงลมเสริมความปลอดภัย ระบบ SRS (คู่หน้า/ด้านข้าง/ม่านด้านข้าง/หัวเข่าฝั่งคนขับ)

ส่วนราคาของ Toyota C-HR 2018   ก็ถือว่าไม่หนักสักเท่าไหร่ อยู่ในระดับกลางๆ  โดยมีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ รุ่น HV Hi ราคา 1,159,000 บาท  รุ่น HV Mid ราคา 1,069,000 บาท รุ่น 1.8 Mid ราคา 1,039,000 บาท รุ่น 1.8 1Entry ราคา 979,000 บาท


MAZDA CX-5

3. MAZDA CX-5 ทางมาสด้าได้เน้นหนักไปในด้านการออกแบบและดีไซน์ทีสวยงามเน้นภาพลักษณ์ที่ทำให้  Mazda CX-5 ดูมีชิวิตและจิตวิญญาณในการเคลื่อนไหวแบบเป็นธรรมชาติ ที่พัฒนาแนวคิดการออกแบบของ Kodo Design  แต่ก็มีแอบใส่ความเหนือธรรมชาติเข้าไปเล็กน้อยด้วยการยกตัวรถและฐานล้อให้สูง ทำให้ห้องโดยสารมีความนิ่งและนุ่มมากขึ้น  MAZDA CX-5 มีทั้งหมด 5 รุ่น คือ  รุ่น 2.0 C  ราคา 1,290,000 บาท รุ่น 2.0 S  ราคา 1,400,000 บาท รุ่น 2.0 SP  ราคา 1,530,000 บาท รุ่น XD  ราคา 1,560,000 บาท รุ่น XDL  ราคา 1,770,000 บาท ส่วนสีสัน Mazda CX-5 ก็มีให้เลือกมากถึง 6 สี คือ Machine Gray , Soul Red Crystal , Snow Flake White Pearl , Sonic Silver , Deep Crystal Blue , Jet Black

ยิ่งถ้าใครยื่นชอบและหลงใหลในโคมไฟโปรเจคเตอร์หละก็ใช้เลย เพราะ MAZDA CX-5 ได้จัดโคมฟ้าหน้าแบบโปรเจคเตอร์ LED  ที่สามารถการส่องสว่างได้แบบอัตโนมัติ  กระจังหน้าเป็นแบบรังสีผึ้งสีดำเงา ประดับกระจังหน้าด้วยแถบโครเมียมขยายปีกขึ้นมารองรับกับไฟหน้าอย่างสวยงาม เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้องโดยสารของ  Mazda CX-5   คุณจะพบว่าภายในสวยงามมากเพราะถูกดีไซน์ HMI (Human-Machine Interface)  คอนโซลหน้าแบบ Metal Wood ผสานความเป็นสปอร์ตลงไปอย่างลงตัว  วัสดุที่ใช้ตกแต่งจะเป็นการผสมผสานกันระหว่าง พลาสติกลายไม้ผิวกึ่งมันกึ่งด้าน  และวัสดุสีดำเงา แถมยังตัดขอบด้วยเส้นอะลูมิเนียมสีเงินกึ่งเงาด้าน  ส่วนเบาะเป็นเบาะหนังสีน้ำตาลส่วนเบาะรองนั่งนั้นก็นุ่มพอดีไม่แข็งหรือนุ่มจนเกินไปแบบว่านั่งกำลังสบาย เบาะนั่งคนขับพนักพิงก็ถูกออกแบบมาให้ใหญ่เพื่อรองรับแผ่นหลังของคนขับเพื่อให้รู้สึกสบายตัวไม่ปวดเมื่อยขณะขับรถทางไกล และยิ่งไปกว่านั้นเบาะคู่หน้ายังสามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า และเบาะคนขับสามารถปรับได้มากถึง 8 ทิศทาง ไม่ว่าจะเอนไปข้างหน้า ถอยหลัง ปรับยกหรือกดลง หรือจะปรับเบาะรองนั่งไปข้างหน้าหรือข้างหลังก็ยังทำได้ และเบาะคนขับยังมีระบบบันทึกตำแหน่งของคนขับได้ถึง  2 ตำแหน่ง ส่วนเบาะของผู้โดยสารด้านหน้าก็ไม่น้อยหน้าสามารถปรับได้ถึง 6 ระดับ แต่ถึงจะเป็นรถ SUV ขนาด 7 ที่นั่ง  Mazda CX-5   ก็ยังออกแบบมาแบบ  2 in 1 คือจะนั่งแบบเต็มทั้ง 7 ที่นั่งก็ได้เหรือจะปรับเบาะหลังเป็นพื้นที่เก็บของวางสัมภาระต่างๆ ก็ยังได้ เพราะสามารถแยกพับได้ 3 ส่วน แบบ 40:20:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการเก็บของได้มากถึง 505 ลิตร

บอกเล่าประสบการณ์ใช้รถยนต์ Mazda CX-5 มีข้อดี ข้อเสีย หรือปัญหาอะไรบ้าง

นอกจากรูปลักษณ์นอกและภายในห้องโดยสารที่มายั่วน้ำลายกันพอสมควรแล้ว ลองมาดูสิ่งอำนวยความสะดวกด้านในกับบ้างว่า Mazda CX-5  จับอะไรใส่มาให้บ้าง Mazda CX-5  ได้จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบมาให้ผู้ที่หลงรักความล้ำสมัยของเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Mazda CX-5  จอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เรียกได้ว่าจัดมาให้แบบกำลังพอเหมาะไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป มาพร้อมกับลำโพง 6 ตำแหน่ง  และยังมีระบบสั่งงานด้วยเสียงผ่านระบบ MZD Connect ยิ่งไปกว่านั้นมีปุ่ม Drive selection  ที่สามมารถเลือกโหมดการขับได้อีกด้วย และนอกจากนี้  Mazda CX-5 ยังมีการแสดงข้อมูลสําคัญในการขับขี่แบบสีบนกระจกหน้ารถ ในระดับสายตาผู้ขับ และ Mazda CX-5 ยังใส่เทคโนโลยีล้ำนำไปอีกโดยที่ไม่ยอมน้อยหน้าค่ายอื่นด้วยการเชื่อมต่อกับโลกโซเชียลด้วยระบบ MZD CONNECT ที่ทำให้ไม่พลาดทุกการติดต่อสื่อสาร และยังสามารถรับ-ส่ง SMS จากสมาร์ทโฟนผ่านสัญญาณ Bluetooth พร้อมกับระบบ Infotainment ที่มีให้เลือกมากมายในแอพพลิเคชั่น Aha by HARMANTM รวมถึงระบบนำทาง Navigator

ส่วนพวงมาลัยก็ยังไม่ทิ้งแนวสปอร์ต เพราะพวงมาลัยของ Mazda CX-5   เป็นทรงสปอร์ตแบบ  3 ก้านหุ้มหนัง  ด้านซ้ายจะเป็นปุ่มควบคุมชุดเครื่องเสียงรวมถึงระบบโทรศัพท์ และยังมีปุ่ม  Info ใช้สำหรับเปลี่ยนข้อมูลบนชุดจอ MID ของหน้าปัด  ส่วนด้านขวาเป็นชุดควบคุมระบบ  Cruise Control  โดยรุ่น 2.0 SP และ 2.2 XDL จะใช้ปรับระยะห่างจากรถคันหน้าในโหมดการทำงานของ MRCC – Mazda Radar Cruise Control ด้วย

ด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ Mazda CX-5    เป็นเครื่องยนต์  SKYACTIV-D จัดเครื่องมาให้ 2 แบบ ทั้ง เครื่องยนต์สกายแอคทีฟ คลีนดีเซล 2.2 ลิตร  ที่เครื่องยนต์เงียบพอใช้ได้เลย ให้กําลัง 175 แรงม้า แรงบิดสูง 420 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันมากถึง 17.5 กิโลเมตร / ลิตร  ส่วนเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ เบนซิน 2.0 ลิตร ให้กําลัง 165 แรงม้า แรงบิดสูง 210 นิวตัน-เมตรประหยัดน้ำมัน 13.9 กิโลเตร / ลิตร

ระบบความปลอดภัยก็ถือว่าดีมากปลอดภัยไร้กังวล  เพราะ Mazda CX-5 จัดมาให้แบบไม่อั้น มีทั้ง ดิสก์เบรค 4 ล้อ มีระบบ ABS แบบกระจายแรงเบรก ระบบช่วยทรงตัวขณะขับขี่และเข้าโค้งระบบนี้ถือว่าดีมากเพราะการขับรถทางไกลในต่างจังหวัดบางช่วงของถนนจะเป็นทางโค้งและโค้งแบบรุนแรงมาก บางช่วงโค้งหักศอกก็ยังมี ซึ่งถ้าเป็นมือใหม่หัดขับหรือไม่ชำนาญทางและระบบความปลอดภัยในรถไม่ดีพอก็อาจจะทำให้หลุดโค้งได้ และยิ่งถ้าไปเจอช่วงฝนตกถนนลื่นก็ยิ่งอันตราย แต่สำหรับ Mazda CX-5  นั้นถือว่าเป็นรถ SUV ที่ดีมากเพราะทำให้การเข้าโค้งง่ายขึ้นไม่โครง ไม่สะบัด และยังสามารถคืนพวงมาลัยและกลับเข้าสู่เลนได้อย่าง่ายดาย  ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชันทำให้รู้สึกว่าการออกตัวบนทางลาดชั้นปลอดภัยมากยิ่งขึ้นไม่ต้องกลัวว่ารถจะไหล  และนอกจากนี้ก็ยังมีสัญญาณไฟฉุกเฉินแบบอัตโนมัติเมื่อมีการเบรกกะทันหัน, ระบบล็อคประตูอัตโนมัติ, กล้องมองหลัง, ถุงลมนิรภัย 6 จุด ที่คู่หน้า ด้านข้าง และม่านศีรษะ กล้องมองหลังที่มีเซนเซอร์ในการควบคุมถึง 8 จุด ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และยังมีระบบเมื่อผู้ขับขี่ออกนอกเลนและกลับเข้าเลนแบบอัตโนมัติ ระบบการหยุดรถแบบอัตโนมัติเมื่อมีเหตุฉุกเฉินหรือสิ่งกีดขวางด้านหน้า และระบบการเบรกแบบอัตโนมัติเมื่อมีรถอยู่ด้านหลังขณะถอย


SUBARU XV

4. SUBARU XV ครอสส์โอเวอร์เอสยูวี เจเนอเรชั่น 2 ที่มีเพียง 2 รุ่นเท่านั้น คือ รุ่น  2.0i ราคา 1,159,000 บาท และรุ่น 2.0i-P ราคา 1,259,000 บาท SUBARU XV   ได้ถูกพัฒนาใหม่โดยมุ่งเน้นไปที่ความแข็งแกร่งและความปลอดภัย ผสมผสานกับรูปลักษณ์การดีไซน์ทั้งภายในและภายนอกที่หรูหราโฉบเฉี่ยว โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ LED  สามารถปรับไปทางซ้ายและขวาตามทิศทางการเลี้ยว พร้อม Day Time Running Light ไฟท้ายแบบและไฟเบรกก็เป็นแบบ LED เช่นกัน และยังคงรูปลักษณ์ที่ดํสวยมีสไตล์ตามแบบของ SUBARU   ส่วนล้อก็เป็นล้ออลูเนียมอัลลอย 17 นิ้ว สวยหรูไม่ทิ้งคอนเซ็ป SUBARU

ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง รวมทั้งห้องเก็บสัมภาระก็กว้างขวางสามารถเก็บสิ่งของได้มาก  และยังเทคโนโลยีที่เสริมเข้ามาอีกไม่ว่าจะเป็นช่องเสียบ USB และช่องเสียเครื่องเล่นเพลง  ที่ทำให้คุณได้รับความเพลิดเพลินกับเสียงเพลงด้วยระบบเสียงอันทรงพลังของ  SUBARU XV และยังมีระบบอัจฉริยะที่ผู้ขับขี่สามารถเข้าไปภายในรถโดยไม่ต้องใช้กุญแจเพราะ  SUBARU XV มีกุญแจรีโมทที่เชื่อมต่อกับระบบการทำงานของรถ และยังสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์และดับเครื่องยนต์ได้เพียงแต่กดปุ่ม  ENGINE START-STOP และยิ่งไปกว่านั้น SUBARU XV ยังได้นำระบบการควบคุมความเร็วของรถให้อยู่ในระดับคงที่เพียงแค่สัมผัสก็ทำให้การขับขี่นั้นปลอดภัยมากขิ่งขึ้นเพราะ SUBARU XV จะรักษาระดับความเร็วให้คุณเอง แต่ระบบนี้เหมาะที่จะใช้ในช่วงที่ถนนโล่งๆ ไม่มีรถมากนัก

SUBARU XV  มาพร้อมกับเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ (BOXER) บล็อคใหม่ล่าสุด FB20 สมดุลซ้าย/ขวาและมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ พัฒนาแก้ไขชิ้นส่วนต่างๆ ไปถึงเกือบ 80%  ของชิ้นส่วนทั้งหมดในเครื่องยนต์เพื่อลดน้ำหนัก และจ่ายเชื้อเพลิงระบบฉีดเชื้อเพลิงแบบไดเรคอินเจคชัน 2.0 ลิตร กำลังอัดกระบอกสูบเพิ่มขึ้นเป็น 12.5:1 (เดิม 10.5:1) ให้พลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที (เดิม 150 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รตน. (เดิม 4,200 รอบ/นาที)

ด้านความปลอดภัย SUBARU XV  มีระบบความปลอดภัยเชิงรับเพื่อความปลอดภัยกว่าจากการชนจะช่วยลดแรงกระแทกที่เข้าถึงห้องโดยสารลงในขณะที่เพิ่มความยืดหยุ่นในการดัดงอ และ SUBARU XVยังติดตั้งเบาะหน้าที่สามารถลดการบาดเจ็บบริเวณคอพร้อมหมอนพิงศีรษะที่แข็งแรง ช่วยปกป้องผู้โดยสารเบาะหน้าจากอาการบาดเจ็บได้ดียิ่งขึ้น ส่วนโครงสร้างก็สามารถป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์ทะลุเข้าไปในห้องโดยสาร และยังมีระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวและระบบควบคุมแรงบิดอัตโนมัติขณะเข้าโค้งเบรกจะทำงานกับล้อด้านในเพื่อการควบคุมที่แม่นยำ ช่วยให้คุณสามารถเข้าโค้งหักศอกได้ดียิ่งขึ้นเมื่อจำเป็น และยังระบบ X-MODE ให้การควบคุมที่วางใจได้ เพียงแค่กดปุ่ม เทคโนโลยีของระบบ X-MODE จะควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ เกียร์ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบสมมาตร เบรก และอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อให้ลุยไปได้ทุกสภาพท้องถนนและภูมิประเทศที่แตกต่างกันอย่างปลอดภัยเมื่อ X-MODE ทำงาน ระบบช่วยควบคุมการลงทางลาดชันจะช่วยรักษาระดับความเร็วให้คงที่โดยอัตโนมัติขณะขับ SUBARU XV ลงทางลาดชัน


BMW X3

5. BMW X3 เจเนอเรชัน 3 ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกที่บ่งบอกถึงความทรงพลัง แข็งแกร่งแบบออฟโรดแต่ก็ยังคงความเป็นสปอร์ต หรูหราและสง่างามไว้ได้อย่างลงตัว ด้วยการกาปรับให้ส่วนหัวและส่วนท้ายสั้งลงเพื่อกระจายน้ำหนักให้ได้แบบ 50 : 50 โดดเด่นที่ไฟหน้า ไฟสูง ไฟต่ำ และเลี้ยว LED เต็มรูป แบบ Adaptive  ที่ใช้ร่วมกับระบบ BMW Selective Beam ซึ่งเป็นระบบหักเหไฟสูงตามสภาพการจราจรบนท้องถนน  และเพื่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ด้วยไฟส่องสว่างในขณะที่เลี้ยวโค้ง ส่วนไฟหน้าก็ยังสามารถปรับไปตามทิศทางการเลี้ยวของพวงมาลัย  และที่สวยงามชวนมองอีกจุดหนึ่งก็คือไฟท้าย  BMW X3 จะเป็นไฟแบบ LED สามมิติ รูปตัว L ซึ่งก็ถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นชวนมองของรถ BMW ทุกรุ่นอยู่แล้ว    ส่วนระบบควบคุมและฟังก์ชั่นการใช้งานในส่วนต่างๆ ได้ถูกออกแบบมาให้อยู่ใกล้พวงมาลัยเพื่อที่ผู้ขับขี่จะได้ใช้งานได้อย่างถนัดและสะดวกสบาย รวมถึงจอแสดงผลการควบคุมการโทรเข้า โทรออก และระบบนำทาง แบบระบบสัมผัสที่ตั้งอยู่เหนือคอนโซลกลางด้านหน้า เป็นจอ Diagonal  ขนาด 12.3 นิ้ว  มาพร้อมกับเทคโนโลยี  Black Panel ที่แสดงข้อมูลแบบชัดเจน ส่วนหน้าแผงหน้าปัดแสดงผลอัตราแร่งของเครื่องยนต์ เป็นโหมดการแสดงผลแบบจอสีและกราฟิก โดยการแสดงในสามโหมด คือ: ECO PRO, COMFORT และ SPORT

ภายในห้องโดยสารจะเน้นไปในทางบรรยากาศที่หรูหราเพื่อให้ผู้โดยสารรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมทั้งมีระบบป้องกันเสียงรบกวนด้วยกระจกป้องกันเสียงรบกวนระดับพรีเมียมเพื่อไม่ให้เสียงจากภายนอกเข้ามารบกวนผู้โดยสารด้านในได้ดีเลยทีเดียว

BMW X3 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง BMW TwinPower Turbo รุ่นใหม่ล่าสุดพร้อมมอบพละกำลังเต็มพิกัดที่มาพร้อมอัตราประหยัดเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น  ซึ่งสามารถประหยัดได้มากถึง 17.6 กิโลเมตร / ลิตร เลยทีเดียว  ส่วนเครื่องยนต์ให้กำลัง 140 กิโลวัตต์ (190 แรงม้า) และมอบแรงบิดสูงถึง 560 นิวตันเมตร ส่วนราคาของ  BMW X3 นั้นอาจจะสูงมากไปสักหน่อยเพราะราคาอยู่ที่ 3,699,000 บาท ซึ่งหลายคนอาจจะต้องถอยหลังเพราะราคา

เป็นอย่างไรบ้างคะ รถ SUV ทั้ง 5 ค่ายนี้มีรุ่นไหนพอจะโดนใจบ้างไหมคะ ซึ่งการจะถอยรถ SUV มาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวนั้นก็แล้วแต่ความชอบและกำลังทรัพย์ในกระเป๋า ซึ่งการเลือกก็ควรจะเลือกให้อยู่ในระดับพอดีกลางๆ ให้เหมาะสมกับทั้งการใช้งานและกำลังทรัพย์ที่มีเพื่อคุณจะได้รถ SUV คุ้มค่าคุ้มราคามากที่สุด

ดูเพิ่มเติม:

- รีวิว All New Toyota C-HR 2018 สัมผัสประสบการณ์ขับขี่อย่างเหนือระดับ

- รีวิว All New Mazda CX-5 2.2 XDL ยนตรกรรมเอสยูวีอเนกประสงค์สุดทันสมัยแห่งยุค

น้ำเพชร

ในหมวดเดียวกัน